แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 รับของโจรกระบือจาก + แล้วขายให้จำเลยที่ 1 หากจำเลยที่ 1 รับซื้อไว้โดยรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเป็นกระบือของร้าย ก็มีความผิดฐานรับของโจรได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ ๕ – ๖ มิถุนายน ๒๕๐๔ เวลากลางคืน+ต่อกัน มีคนร้ายสักกระบือราคา ๗๐๐ บาทของนายแช่มไป ครั้งวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๐๔ เวลากลางวัน กระบือดังกล่าวตกอยู่ในครอบครองของจำเลย ทั้งนี้ โดยจำเลยทั้งสองลักเอาไป หรือมิฉะนั้นก็ร่วมกันรับกระบือจากคนร้ายโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของร้ายที่ได้มาจากการลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕,๓๕๗ คืนกระบือของกลางแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยให้การปฏิเสธ โดยจำเลยที่ ๑ ว่า รับซื้อกระบือจากจำเลยที่ ๒ โดยสุจริตไม่รู้ว่าเป็นของร้าย ส่วนจำเลยที่ ๒ ว่า จำเลยที่ ๑ เอากระบือไปบอกขายให้ แต่จำเลยไม่รับซื้อไว้
ศาลจังหวัดกระบี่ฟังข้อเท็จจริงว่า มีคนร้ายลักกระบือของนายแช่มไป จำเลยที่ ๒ รับซื้อกระบือไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของร้ายได้มาจากการลักทรัพย์ พิพากษาว่าจำเลยที่ ๒ มีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ จำคุก ๖ เดือน ส่วนจำเลยที่ ๑ รับซื้อกระบือไว้จากจำเลยที่ ๒ โดยสุจริต ไม่รู้ว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานรับของโจร
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ รับซื้อกระบือไว้จากจำเลยที่ ๒ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของร้าย การกระทำของจำเลยที่ ๑ ผิดฐานรับรองโจร พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ จำคุก ๖ เดือน
จำเลยที่ ๑ ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ตามทางพิจารณาได้ความว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๕ – ๖ มิถุนายน ๒๕๐๔ เวลา กลางคืนติดต่อกัน มีคนร้ายลักกระบือของนายแช่มไป ๑ ตัว ราคา ๗๐๐ บาท ใครเป็นคนร้ายลักไปไม่มีพยานโจทก์รู้เห็น ครั้นต่อมาวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๐๔ เวลากลางวัน กระบือตัวนี้ตกอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๒ ทั้งนี้ โดยจำเลยที่ ๒ รับไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของร้ายได้มาจากการลักทรัพย์ แล้วจำเลยที่ ๒ นำไปขายให้แก่จำเลยที่ ๑ อีกต่อหนึ่งเป็นเงืน ๕๐๐ บาท
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสำนวนได้ความว่า การซื้อขายกระบือรายนี้ กระบือผูกล่ามอยู่ในป่าห่างบ้านจำเลยที่ ๒ ราว ๓ – ๕ กิโลเมตร มีลักษณะเป็นการซุกซ่อน ซื้อขายกันในราคาถูก ตั๋วพิมพ์รูปพรรณสัตว์ก็ไม่มี พฤติการณ์ส่อแสดงให้เห็นว่าเป็นกระบือที่ไม่บริสุทธิ์ จำเลยที่ ๑ น่าจะสำนึกได้ว่าเป็นกระบือของร้าย เมื่อซื้อแล้วจำเลยที่ ๑ ก็มิได้นำกระบือไปไว้บ้าน แต่กลับนำไปผูกล่ามไว้ในป่ากลางนานายล้น ลักษณะเป็นการปิดบังซ่อนเร้นอีก ทั้งเมื่อเจ้าพนักงานไปสอบถามครั้งแรก จำเลยที่ ๑ ปฏิเสธว่าไม่ได้รับกระบือไว้ อันเป็นการพิรุธ จำเลยน่าจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเป็นกระบือของร้าย ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพฤติการณ์ทั้งหลายดังกล่าวมารูปคดีเชื่อได้ว่า จำเลยที่ ๑ ได้รับซื้อกระบือรายนี้ไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นกระบือของร้าย ซึ่งการกระทำย่อมเป็นความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.