แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 3 ฟ้องจำเลยที่ 2 และขอให้ศาลอายัดเงินที่จำเลยที่ 2 จะได้รับจากจำเลยที่ 1 ตามสัญญาจ้างทำของไว้ก่อนพิพากษา และศาลมีคำสั่งให้อายัดไว้ก่อนพิพากษาตามคำขอของจำเลยที่ 3 ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ส่งเงินค่าจ้างทำของไปยังศาลตามหมายอายัดชั่วคราว และในที่สุดจำเลยที่ 3 ได้รับเงินดังกล่าวไปจากศาลนั้น เมื่อปรากฏว่าเงินค่าจ้างทำของนี้เดิมเป็นสิทธิเรียกร้องของห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญลาภและบุตร ซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาจ้างทำของกับจำเลยที่ 1 และต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญลาภและบุตรโดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการได้โอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้แก่โจทก์ไปก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้อายัดแล้ว ห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญลาภและบุตรและจำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องดังกล่าวต่อจำเลยที่ 1 อีกต่อไป คำสั่งให้อายัดจึงไม่มีผลบังคับจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ปฏิเสธหรือโต้แย้งหนี้ตามคำสั่งให้อายัดแต่กลับส่งเงินไปยังศาลก็เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าวของตนเอง หาทำให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะได้รับชำระหนี้เงินค่าจ้างทำของจากจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์ได้รับโอนมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญลาภและบุตร ต้องเสื่อมเสียไปแต่อย่างใดไม่ การกระทำของจำเลยดังกล่าวมาไม่ทำให้โจทก์เสียหายจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ในมูลละเมิดเป็นการขอให้ชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบด้วยมาตรา 247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิรับชำระหนี้ในฐานะผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องเงินค่าจ้างทำของจากห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญลาภและบุตรโดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการที่มีต่อจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 2และที่ 3 ได้สมคบกันฉ้อฉลโจทก์ โดยจำเลยที่ 3 แกล้งฟ้องจำเลยที่ 2ต่อศาลชั้นต้น และจำเลยที่ 3 ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินค่าจ้างดังกล่าวไว้ก่อนพิพากษาโดยอ้างว่าเป็นเงินที่จำเลยที่ 2 มีสิทธิจะได้รับจากจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ส่งเงินมายังศาล จำเลยที่ 1 ทราบดีอยู่แล้วว่าสิทธิเรียกร้องเงินค่าจ้างทำของได้โอนมาเป็นของโจทก์แล้ว แต่จำเลยที่ 1 ก็ไม่แจ้งให้ศาลทราบและได้ส่งเงินค่าจ้างทำของดังกล่าวจำนวน 265,650 บาทไปยังศาล ต่อมาจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้พิพากษาตามยอมโดยจำเลยที่ 2 ตกลงยินยอมให้จำเลยที่ 3 รับเงินที่จำเลยที่ 1 ส่งมายังศาลไป การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงินจำนวน 265,650 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 265,650 บาท นับตั้งแต่ วันที่ 26มีนาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้แล้วเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า มิได้ยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องตามที่โจทก์กล่าวอ้าง จำเลยที่ 1 ได้ส่งเงินค่าจ้างให้แก่ศาลชั้นต้นตามหมายอายัดโดยสุจริตมิได้จงใจและประมาทเลินเล่อและได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน265,650 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จยกฟ้องจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เดิมห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญลาภและบุตรมีสิทธิเรียกร้องในเงินค่าจ้างทำของต่อจำเลยที่ 1 และห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญลาภและบุตร โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการได้โอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้แก่โจทก์ และแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ ซึ่งก็ไม่ขัดข้อง ต่อมาจำเลยที่ 3 ฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้นให้ชำระหนี้โดยจำเลยที่ 3ขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินค่าจ้างทำของดังกล่าวไว้ก่อนพิพากษาและออกหมายอายัดชั่วคราวถึงจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์มาขอรับเงินจำเลยที่ 1 ได้แสดงหมายอายัดชั่วคราวและคำสั่งศาลต่อโจทก์หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทราบถึงการที่จำเลยที่ 1 ส่งเงินไปยังศาลชั้นต้น ต่อมาจำเลยที่ 3 ได้รับเงินจำนวนนี้ไปจากศาลตามคำพิพากษาตามยอมระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3
ปัญหามีว่า การที่จำเลยที่ 1 ได้ส่งเงินไปยังศาลตามคำสั่ง และหมายอายัดของศาลชั้นต้นเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่าเมื่อปรากฏว่าเงินค่าจ้างทำของนี้เดิมเป็นสิทธิเรียกร้องของห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญลาภและบุตรซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาจ้างทำของกับจำเลยที่ 1 และต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญลาภและบุตรโดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการได้โอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้แก่โจทก์ไปก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้อายัดแล้ว ห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญลาภและบุตรและจำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องดังกล่าวต่อจำเลยที่ 1 อีกต่อไป คำสั่งให้อายัดจึงไม่มีผลบังคับจำเลยที่ 1แม้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ปฏิเสธหรือโต้แย้งหนี้ตามคำสั่งให้อายัด แต่กลับส่งเงินไปยังศาล ก็เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าวของตนเอง หาทำให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะได้รับชำระหนี้เงินค่าจ้างทำของจากจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์ได้รับโอนมาต้องเสื่อมเสียไปแต่อย่างใดไม่ การกระทำของจำเลยดังกล่าวไม่ทำให้โจทก์เสียหาย จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ และเนื่องจากคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ในมูลละเมิดอันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1)ประกอบด้วยมาตรา 247
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2เสียด้วย