คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 359/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประกาศกระแสพระบรมราชโองการให้ใช้สัญญาว่าด้วยการเดิน รถไฟระหว่างพระราชอาณาจักรสยามกับกลันตันไทรบุรีเปอร์ลิศและสหรัฐมลายู ลงวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2467 ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เป็นกฎหมายเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วศาลรู้เอง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 27 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2483 มาตรา 16, 17พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 มาตรา 4, 22, 38ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 308 พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2482 มาตรา 3พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 5, 7, 20, 24 พระราชกฤษฎีกาควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 29) พ.ศ. 2509 มาตรา 3ประกาศกระแสพระบรมราชโองการให้ใช้สัญญาว่าด้วยการเดินรถไฟระหว่างพระราชอาณาจักรสยามกับกลันตัน ไทรบุรี เปอร์ลิศ และสหรัฐมลายูขอให้ริบพระพุทธรูปของกลางและคืนหนังสือเดินทางของกลางแก่จำเลย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานนำของต้องห้ามต้องจำกัดออกไปนอกราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 มาตรา 5,7, 20 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นบทหนัก ปรับ 5เท่าของสินค้าเป็นเงิน 112,050 บาท คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 56,025 บาท ริบพระพุทธรูปของกลางคืนหนังสือเดินทางแก่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าประกาศกระแสพระบรมราชโองการให้ใช้สัญญาว่าด้วยการเดินรถไฟระหว่างพระราชอาณาจักรสยามกับกลันตัน ไทรบุรี เปอร์ลิศและสหรัฐมลายู่ มีข้อความว่า เมื่อพ้นกำหนด 10 ปีแล้ว ให้มีอายุต่อไปเป็นปี ๆ จนกว่าคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิก ถ้ามีการบอกเลิกเช่นนี้แล้ว ให้สัญญานี้สิ้นอายุเมื่อพ้นกำหนด 1 ปีนับจากวันที่ได้รับแจ้งความบอกเลิกนั้น โจทก์มิได้นำสืบว่าประกาศกระแสพระบรมราชโองการดังกล่าวยังใช้บังคับอยู่ และคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังมิได้บอกเลิก จำเลยย่อมไม่มีความผิดในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจค้นพบพระพุทธรูปของกลางอยู่ในห้องนอนบนตู้รถไฟที่สถานีรถไฟร่วมปาดังเบซาร์ อันเป็นสถานีรถไฟร่วมระหว่างไทย-มาเลเซีย ซึ่งอยู่ในเขตประเทศมาเลเซียซึ่งตามประกาศกระแสพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ให้ศาลของประเทศไทยมีอำนาจชำระคดีได้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ประกาศกระแสพระบรมราชโองการให้ใช้สัญญาว่าด้วยการเดินรถไฟระหว่างพระราชอาณาจักรสยามกับกลันตันไทรบุรี เปอร์ลิศ และสหรัฐมลายู ลงวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2467เป็นพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช จึงมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วย่อมถือว่าเป็นทราบทั่วกัน จึงเป็นข้อที่ศาลรับรู้ได้เอง มิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความจะต้องนำสืบ โจทก์จึงหาต้องนำสืบถึงความมีอยู่ของบทกฎหมายดังที่จำเลยฎีกามาแต่อย่างใด ศาลล่างทั้งสองพิพากษาคดีมาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share