คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 638/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่า บิดาโจทก์และจำเลยยืมเงินจำเลยไปใช้จ่ายในการต่อสู้คดี ต่อมาไม่มีเงินที่จะใช้คืนแก่จำเลยจึงตกลงเอาที่ดินพิพาทตีใช้หนี้ จำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นชื่อของจำเลยตั้งแต่ปี 2520 และได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจึงได้สิทธิครอบครองและคดีของโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องตามกฎหมาย คำให้การดังกล่าวของจำเลยมิได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความเรื่องอะไรและเพราะเหตุใดเป็นคำให้การที่ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคสอง ไม่ก่อให้เกิดประเด็นเรื่องคดีของโจทก์ขาดอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยและนายสมหวังเป็นบุตรนายเหมือย นางคำปัน ซึ่งบิดามารดาอยู่กินกันโดยมิได้จดทะเบียนสมรสแต่บิดาได้รับรองโจทก์กับจำเลยและนายสมหวังว่าเป็นบุตรบิดามีที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1498 ต่อมาปี 2515 บิดาแบ่งที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์ทำกิน ส่วนที่เหลือบิดาคงทำกินต่อมาครั้นปี 2520 จำเลยลักลอบไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นชื่อของจำเลยโดยอ้างว่าได้รับมรดกจากบิดา ซึ่งขณะนั้นบิดายังมีชีวิตอยู่ ในปี 2524 บิดาทราบเรื่องนี้จึงให้จำเลยไปเพิกถอน แต่ยังมิทันได้เพิกถอนบิดาก็ถึงแก่กรรมเสียก่อน เมื่อบิดาถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์คงครอบครองทำกินในที่ดินด้านทิศตะวันออก ส่วนจำเลยเข้าครอบครองทำกินในที่ดินด้านทิศตะวันตกสำหรับนายสมหวังไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องในที่ดิน ไม่มีสิทธิได้ส่วนแบ่ง โจทก์เคยขอให้จำเลยแบ่งที่ดินให้โจทก์กึ่งหนึ่ง จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินและจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ในน.ส.3 ก. เลขที่ 1498 หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของบิดาโจทก์และจำเลยแต่ระหว่างปี 2516 ถึงปี 2519 บิดาถูกนายสมชัยฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ จึงยืมเงินจำเลยไปใช้จ่ายในการต่อสู้คดี ต่อมาไม่มีเงินที่จะใช้คืนแก่จำเลยจึงตกลงเอาที่ดินพิพาทตีใช้หนี้จำเลยโดยยินยอมให้จำเลยไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ซึ่งจำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นชื่อของจำเลยตั้งแต่ปี 2520 และได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา จึงได้สิทธิครอบครอง บิดาไม่เคยแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์ทำกิน และโจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาท คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 1498 ให้โจทก์ 1 ใน 3 ส่วน หากจำเลยไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยให้การว่า บิดาโจทก์และจำเลยยืมเงินจำเลยไปใช้จ่ายในการต่อสู้คดี ต่อมาไม่มีเงินที่จะใช้คืนแก่จำเลยจึงตกลงเอาที่ดินพิพาทตีใช้หนี้ จำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นชื่อของจำเลยตั้งแต่ปี 2520และได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา จึงได้สิทธิครอบครองและคดีของโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องตามกฎหมาย เห็นว่าคำให้การดังกล่าวของจำเลยมิได้แสดงโดยชัดแจ้งว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความเรื่องอะไรเพราะเหตุใด เป็นคำให้การที่ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ไม่ก่อให้เกิดประเด็นเรื่องคดีของโจทก์ขาดอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคแรก ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อนี้ไว้จึงไม่ชอบ
พิพากษายืน

Share