แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งห้ายังไม่เข้าใจคำพิพากษาศาลฎีกาในหน้าที่ 15 ย่อหน้าแรกที่ว่าพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคแรกจำคุกคนละ 1 ปี ให้จำเลยทั้งห้าคืนทรัพย์ 5 รายการที่ยังไม่ได้คืนแก่เจ้าของหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 2,754 บาทแก่เจ้าของ ส่วนอาวุธปืนขนาด .38 หมายเลขทะเบียน กท.723743 และกระสุนปืน .38 จำนวน 5 นัด ฟังไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์ที่ใช้กระทำความผิด ให้คืนแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ขอศาลฎีกาโปรดอธิบายด้วยว่าที่ว่าพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคแรก จำคุก 1 ปี นั้นศาลฎีกาให้โอกาสจำเลยทั้งห้าได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติสืบไป ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ด้วยหรือไม่หรือมีเจตนาจะลงโทษจำคุกจำเลยทั้งห้าคนละ 1 ปีโดยไม่รอการลงโทษไว้ ขอศาลฎีกาได้โปรดตีความให้ชัดแจ้งด้วยโปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 2,340 ตรีให้จำคุกคนละ 18 ปี เฉพาะจำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 23 จำคุกอีก 3 เดือนจำเลยที่ 2 และที่ 5 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯพ.ศ. 2490 มาตรา 72 จำคุกคนละ 6 เดือน และมาตรา 72 ทวิจำคุกอีกคนละ 4 เดือน รวมทุกกรรมเป็นโทษจำคุกจำเลยที่ 1 กำหนด 18 ปี 3 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 กำหนด 18 ปี 10 เดือน จำคุกจำเลยที่ 3 ที่ 4 คนละ 18 ปี และจำคุกจำเลยที่ 5 กำหนด 18 ปี 10 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 6,23จำคุก 3 เดือน จำเลยที่ 2 และที่ 5 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,8 ทวิ วรรคแรก,72 วรรคสาม,72 ทวิ วรรคสอง ประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3,6,7 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ วรรคสองซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 5 คนละ 10 เดือน เพื่อให้โอกาสจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติสืบไป จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งห้าในความผิดฐานปล้นทรัพย์ กับจำเลยทั้งห้าไม่ต้องคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่เจ้าของนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคแรก จำคุกคนละ 1 ปีให้จำเลยทั้งห้าคืนทรัพย์ 5 รายการ ที่ยังไม่ได้คืนแก่เจ้าของหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 2,754 บาท แก่เจ้าของ ส่วนอาวุธปืนขนาด .38 หมายเลขทะเบียน กท.723743 และกระสุนปืน .38 จำนวน 5 นัด ฟังไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์ที่ใช้การกระทำความผิด ให้คืนแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3
จำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 230 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 5 ไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นั้นก็เฉพาะในความผิดซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 5 ในคำพิพากษา เมื่อโจทก์ฎีกาศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยเพิ่มฐานความผิดแก่จำเลยทั้งห้า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(7) วรรคแรก ด้วย และศาลฎีกามิได้รอการลงโทษจำเลยทั้งห้าในฐานความผิดนี้แต่อย่างใด