แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ทำสติกเกอร์ชนิดโปร่งแสงจำเลยที่ 1 บอกราคาค่าจ้างและจะนำตัวอย่างสติกเกอร์มาให้ดูโจทก์ได้วางเงินมัดจำไว้ครั้นดูตัวอย่างสติกเกอร์แล้วโจทก์ไม่พอใจ จึงได้นำเบอร์สติกเกอร์ที่ต้องการมาให้จำเลยที่ 1ดู ต่อมาจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทราบว่าหากจะให้ใช้สติกเกอร์เบอร์ที่โจทก์ต้องการแล้วโจทก์จะต้องเพิ่มเงินค่าจ้างอีก20,000 บาท โจทก์ทราบแล้วก็ไม่ว่าอะไร แสดงว่าโจทก์ไม่ปฏิเสธ จึงต้องถือว่าโจทก์ยอมรับการขอเพิ่มราคาตามที่จำเลยที่ 1 เสนอ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 สั่งซื้อสติกเกอร์เบอร์ที่โจทก์ต้องการที่เมืองฮ่องกงและได้วางเงินมัดจำไว้เช่นกันแต่โจทก์กลับบอกเลิกสัญญาเสียก่อน ดังนี้ หากโจทก์ไม่บอกเลิกสัญญาก่อนกำหนด ก็ไม่เห็นมีเหตุอะไรที่จำเลยที่ 1จะไม่ทำสติกเกอร์ให้โจทก์ เพราะจำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสติกเกอร์ไว้แล้ว สาเหตุที่โจทก์บอกเลิกสัญญานั้นเป็นเพราะโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 1 คิดราคาแพงเกินไปนั่นเอง การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาก่อนกำหนดเช่นนี้โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยที่ 1 มีสิทธิริบเงินมัดจำได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองคืนเงินมัดจำและชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวม 30,322 บาท ให้แก่โจทก์ และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 29,528 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน20,000 บาท นับแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2529 และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 5,000 บาท นับแต่วันที่ 11พฤศจิกายน 2529 จนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2529 และนับแต่วันที่11 พฤศจิกายน 2529 คิดคำนวณถึงวันฟ้อง รวมกันไม่เกิน 794 บาทคำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยมีว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาและจะต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์หรือไม่ โจทก์มีนายสมเกียรติพันธ์จิตวุฒิชัย เป็นพยาน ได้ความจากคำเบิกความของพยานว่าโจทก์ให้พยานไปติดต่อว่าจ้างจำเลยที่ 1 ทำสติกเกอร์ชนิดโปร่งแสงของสามเอ็มจำนวน 116 แผ่น จำเลยที่ 1 รับจะทำ พยานจึงได้วางเงินมัดจำไว้ 20,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้ออกใบส่งของให้ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.4 ในใบส่งของดังกล่าวได้ลงจำนวนเงินมัดจำไว้ด้วย ส่วนจำเลยทั้งสองมีนายสุพร แซ่กิม เป็นพยาน ได้ความจากพยานว่า เมื่อนายสมเกียรติตัวแทนของโจทก์ไปติดต่อว่าจ้างตัวแทนของโจทก์บอกเพียงว่าให้ทำสติกเกอร์สีฟ้ากับสีแดงเขียนข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า เอสโซ่ เป็นสติกเกอร์ของสามเอ็มส่วนรายละเอียดนอกเหนือจากนี้มิได้บอกให้ทราบ นายสุพรจึงบอกราคาค่าจ้างและบอกด้วยว่าจะนำตัวอย่างสติกเกอร์ไปให้ดูในวันที่ 30 ตุลาคม 2529 ตัวแทนของโจทก์ได้วางเงินมัดจำไว้20,000 บาท จำเลยที่ 1 ออกใบส่งของเอกสารหมาย จ.4 ให้เมื่อตรวจดูเอกสารหมาย จ.4 แล้ว เห็นว่า มีข้อความที่เขียนไว้ด้วยดินสอดำความว่า “วันศุกร์เอาตัวอย่างมาให้ดู วันจันทร์มารับเงินมัดจำที่เหลือและของจะเสร็จภายใน 1 อาทิตย์หลังรับมัดจำ”ข้อความดังกล่าวสอดคล้องกับคำเบิกความของนายสุพร ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อว่า คำเบิกความของนายสุพรเป็นความจริง จากคำเบิกความของนายสุพรได้ความต่อไปว่า ในวันที่ 30 ตุลาคม 2529 นายสุพรได้นำตัวอย่างสติกเกอร์สีฟ้าและสีแดงที่จะใช้ทำไปให้ตัวแทนของโจทก์ดู ตัวแทนของโจทก์ดูแล้วบอกว่าใช้ไม่ได้ หลังจากนั้นตัวแทนของโจทก์ได้นำเบอร์สติกเกอร์ที่ต้องการมาให้นายสุพรดูนายสุพรได้จดเบอร์ไว้คือเบอร์ 3630-33 และเบอร์ 3630-67แล้วนำกลับมาที่ห้างเพื่อสอบราคา เมื่อสอบแล้วปรากฏว่ามีราคาแพงมากนายสุพรจึงแจ้งให้ตัวแทนของโจทก์ทราบว่าราคาที่บอกไว้ไม่สามารถจะทำได้ จะต้องเพิ่มค่าจ้างอีก 20,000 บาท เห็นว่าเมื่อตัวแทนของจำเลยแจ้งให้ตัวแทนของโจทก์ทราบแล้วว่าหากจะให้ใช้สติกเกอร์เบอร์ที่โจทก์ต้องการแล้วโจทก์จะต้องเพิ่มเงินค่าจ้างอีก 20,000 บาท ซึ่งตัวแทนของโจทก์ทราบแล้วก็ไม่ว่าอะไรแสดงว่าตัวแทนของโจทก์ไม่ปฏิเสธ จึงต้องถือว่าตัวแทนของโจทก์ยอมรับการขอเพิ่มราคาตามที่ตัวแทนของจำเลยที่ 1 เสนอ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ก็โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 1 ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่เมืองฮ่องกงสั่งซื้อสติกเกอร์เบอร์ที่โจทก์ต้องการกับได้ความจากจำเลยที่ 2 ว่า ในวันที่ 31 ตุลาคม 2529 ได้ไปติดต่อซื้อสติกเกอร์เบอร์ดังกล่าวและได้วางเงินมัดจำไว้คิดเป็นเงินไทยประมาณ 10,000 บาทปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 แต่เมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยในวันที่ 1 หรือ 2 พฤศจิกายน 2529 ก็ทราบว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว หากโจทก์ไม่บอกเลิกสัญญาจำเลยที่ 1 สามารถทำสติกเกอร์ให้โจทก์ได้ทันตามกำหนดเพราะใช้เวลาทำเพียง48 ชั่วโมงเท่านั้น เห็นว่า หากโจทก์ไม่บอกเลิกสัญญาก่อนกำหนดก็ไม่เห็นมีเหตุอะไรที่จำเลยที่ 1 จะไม่ทำสติกเกอร์ให้โจทก์เพราะจำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสติกเกอร์ไว้แล้ว สาเหตุที่โจทก์บอกเลิกสัญญานั้นเชื่อว่าเป็นเพราะโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 1คิดราคาแพงเกินไปนั่นเอง การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาก่อนกำหนดเช่นนี้โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ 1 มีสิทธิริบเงินมัดจำได้
พิพากษายืน