คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 24/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะยิงผู้เสียหายโดยไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลคือความตายเพราะผู้เสียหายกับจำเลยเป็นเพื่อนกันและยิงในขณะที่จำเลยมึนเมาสุรา แต่การที่จำเลยยกอาวุธปืนขึ้นเล็งแล้วยิงไปที่ผู้เสียหายในระยะกระชั้นชิด จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนที่ยิงจะต้องไปถูกผู้เสียหาย จำเลยจะอ้างความมึนเมามาเป็นข้อแก้ตัวเพื่อให้พ้นความผิดไม่ได้ จำเลยยิงผู้เสียหายในระยะใกล้ กระสุนปืนถูกที่ท้องต้องรับการรักษาโดยการผ่าตัด หากแพทย์รักษาไม่ทันผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้ เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายจำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 จำคุก 12 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 จำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายบ้างแล้ว เห็นควรกำหนดโทษต่ำให้จำคุกไว้มีกำหนด 1 ปี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหามีว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่านายสงคราม หัสบงกตหรือหัถบงกลด ผู้เสียหายหรือไม่ ผู้เสียหายเบิกความว่า เมื่อจำเลยเดินเข้ามาในบ้าน ผู้เสียหายไม่ได้มองไปทางจำเลย ต่อมาได้ยินเสียงอาวุธปืนดังขึ้น 1 นัด ผู้เสียหายหันไปดู เห็นจำเลยถืออาวุธปืนจ้องมาที่ผู้เสียหายในระดับเอวกระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่หน้าท้อง นางบุญนา หัสบงกต มารดาผู้เสียหายซึ่งได้ไปเยี่ยมผู้เสียหายที่โรงพยาบาลภายหลังเกิดเหตุ 2วัน เบิกความว่า พบผู้เสียหายอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องผ่าตัดผู้เสียหายบอกพยานว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย ร้อยตำรวจโทวรวิทย์ ปานปรุง พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานีซึ่งได้รับแจ้งเหตุ และได้ไปพบผู้เสียหายที่โรงพยาบาลภายหลังเกิดเหตุประมาณ 1 ชั่วโมงก่อน ผู้เสียหายถูกนำเข้าห้องผ่าตัดเบิกความว่าได้สอบถามแล้ว ผู้เสียหายบอกว่าจำเลยยกอาวุธปืนเล็งใส่ผู้เสียหายแล้วกระสุนปืนลั่นขึ้น 1 นัด ถูกผู้เสียหาย นอกจากนี้ผู้เสียหายยังได้ให้การในชั้นสอบสวนว่า จำเลยเล็งอาวุธปืนมาที่ผู้เสียหายนั่งอยู่ แล้วเหนี่ยวไกอาวุธปืนลั่นถูกผู้เสียหาย นายพิสุทธิ์หรือยุทธ ฤทธาภัย และนายเรืองศักดิ์ สรรพาวุธ พยานโจทก์ซึ่งเป็นเพื่อนกับผู้เสียหายและจำเลย ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันเกิดเหตุ โดยนายพิสุทธิ์ให้การว่า เมื่อได้ยินเสียงอาวุธปืนดังขึ้น1 นัด เห็นผู้เสียหายนั่งบนเก้าอี้ กุมท้องอยู่ สอบถามได้ความว่าถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงใส่ และเห็นจำเลยยืนถืออาวุธปืนอยู่นายเรืองศักดิ์ให้การว่า กลับจากเที่ยวเล่นในตลาดมาถึงบ้านพบว่าบ้านปิดไม่มีคนอยู่ สอบถามคนข้างเคียงได้ความว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ แม้นางบุญนา ร้อยตำรวจโทวรวิทย์นายพิสุทธิ์ และนายเรืองศักดิ์จะเป็นพยานบอกเล่า แต่ก็ได้รับการบอกเล่าจากผู้เสียหายในเวลาไม่นานภายหลังจากเกิดเหตุโดยเฉพาะร้อยตำรวจโทวรวิทย์ นายพิสุทธิ์ และนายเรืองศักดิ์ได้รับการบอกเล่าในระยะเวลากระชั้นชิดกับเวลาเกิดเหตุมาก ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้เสียหาย ผู้บอกเล่าและผู้ได้รับคำบอกเล่ายังไม่มีโอกาสที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าผู้เสียหายได้บอกเล่าความจริงแก่นายพิสุทธิ์ ร้อยตำรวจโทวรวิทย์ และนางบุญนาจริง จำเลยเองยังได้ให้การในชั้นสอบสวนตรงกับคำเบิกความและคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานโจทก์ว่าจำเลยยกมือข้างที่ถืออาวุธปืนขึ้นเล็งไปที่ผู้เสียหายซึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟา ระหว่างนั้นนิ้วชี้อยู่ในโกร่งไกปืน เนื่องจากจำเลยมึนเมาสุราจึงเหนี่ยวไกปืนออกไปข้อเท็จจริงในเบื้องต้นจึงฟังได้ว่า จำเลยได้ยกอาวุธปืนขึ้นเล็งแล้วยิงไปที่ผู้เสียหายซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟา ที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยส่งอาวุธปืนให้ผู้เสียหายเพื่อเก็บไว้ แต่อาวุธปืนได้ลั่นขึ้น กระสุนปืนจึงไปถูกผู้เสียหาย กับที่ผู้เสียหายและนางบุญนาเบิกความตอบทนายจำเลยเพื่อให้ศาลเห็นว่าจำเลยทำอาวุธปืนลั่นใส่ผู้เสียหาย นายพิสุทธิ์เบิกความว่าจำเลยทำอาวุธปืนลั่นและนายเรืองศักดิ์ว่าชาวบ้านบอกว่าจำเลยทำอาวุธปืนลั่นถูกผู้เสียหายนั้น เป็นข้อนำสืบและคำเบิกความที่ขัดต่อเหตุผล เพราะอาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงเป็นอาวุธปืนลูกโม่ ขนาด .38 ซึ่งต้องเหนี่ยวไกปืนจึงจะทำให้นกปืนง้างและเข็มแทงชนวนสับลง กระสุนปืนจึงจะลั่นได้หากจำเลยถือโดยกำอาวุธปืนตรงระหว่างลูกโม่กับด้ามปืนดังจำเลยนำสืบแล้ว ย่อมไม่มีทางที่อาวุธปืนจะลั่นขึ้นเองได้ ข้อนำสืบของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยยกอาวุธปืนขึ้นเล็งแล้วยิงไปที่ผู้เสียหาย ปัญหามีว่าจำเลยมีเจตนายิงผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์จำเลยนำสืบรับกันว่าผู้เสียหายกับจำเลยเป็นเพื่อนกันไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน จำเลยยิงผู้เสียหายในขณะที่จำเลยกำลังมึนเมาสุรา ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยจะยิงผู้เสียหายโดยไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลคือความตายเพราะยิงในขณะที่จำเลยมึนเมาสุรา แต่การที่จำเลยยกอาวุธปืนขึ้นเล็งแล้วยิงไปที่ผู้เสียหายในระยะกระชั้นชิด จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนที่ยิงจะต้องไปถูกผู้เสียหายแน่ จำเลยจะอ้างความมึนเมามาเป็นข้อแก้ตัว เพื่อให้พ้นความผิดไม่ได้ เพราะขณะจำเลยยิงนั้น จำเลยยังมีความรู้สำนึกในการกระทำอยู่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเมื่อจำเลยยิงแล้วจำเลยมีอาการตกตะลึงและเข้ามาถามผู้เสียหายว่าถูกอาวุธปืนหรือ กับช่วยนายพิสุทธิ์จับแขนผู้เสียหายคนละข้างพาไปถึงปากซอยเพื่อนำส่งโรงพยาบาล ผู้เสียหายถูกยิงในระยะใกล้ กระสุนปืนถูกที่ท้อง ต้องรับการรักษาโดยการผ่าตัด หากแพทย์รักษาไม่ทันผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้ เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว เห็นควรลงโทษจำเลยในสถานเบา
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบกับมาตรา 80 จำคุกจำเลยมีกำหนด 10 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา และจำเลยเสียค่ารักษาพยาบาลให้แก่ผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 5 ปี”.

Share