คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3186/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ตามฟ้องโจทก์ระบุว่า จำเลยเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารพิพาทแต่ก็ไม่ได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่า จำเลยได้กระทำผิดในฐานะผู้ดำเนินการตามความหมายของมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ ทั้งมิได้อ้างมาตรา 69 ซึ่งเป็นบทลงโทษเฉพาะผู้ดำเนินการมาในคำขอท้ายฟ้อง ศาลย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์
มาตรา 70 พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่บัญญัติว่า “ถ้าการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นการกระทำเกี่ยวกับอาคารเพื่อพาณิชยกรรม… ต้องระวางโทษ…หมายรวมความผิดทุกอย่างที่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารหากมีลักษณะต้องตามที่บัญญัติไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ลงโทษตามมาตรานี้ได้ หาจำต้องเป็นความผิดที่เกี่ยวกับตัวอาคารโดยตรงไม่ เมื่อจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม มาตรา44 ซึ่งจะต้องถูกลงโทษตามมาตรา 67 และอาคารที่จำเลยกระทำผิดเป็นอาคารเพื่อพาณิชยกรรม ศาลจึงนำมาตรา 70 มาปรับบทลงโทษแก่จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๓๒, ๔๔, ๖๕, ๖๗, ๗๐ และนับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลจดำที่ ๔๑๔๐/๒๕๓๒ ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีคยามผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ พ.ศ. ๔, ๓๒, ๔๔, ๖๕, ๖๗, ๗๐ เรียงกระทงลงโทษ ฐานใช้อาคารเพื่อกิจการพาณิชยกรรมซึ่งเป็นอาคารประเภทควบคุมใช้โดยเจ้าพนักงานท้องถิ่นยังไม่ได้ออกใบรับรองและอนุญาตให้ใช้อาคาร ตามมาตรา ๔, ๓๒, ๖๕ ประกอบมาตรา ๖๙, ๗๐ ปรับ ๒๐,๐๐๐ บาทฐานฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ตามมาตรา ๔,๓๒, ๔๔, ๖๗ ประกอบมาตรา ๖๙, ๗๐ ปรับวันละ ๑๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่๒๗ กรกฎาคม ๒๕๓๑ ถึงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๓๒ เป็นเวลา ๒๗๒ วันปรับ ๒,๗๒๐,๐๐๐ บาท รวมปรับ ๒,๗๔๐,๐๐๐ บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงปรับ ๑,๓๗๐,๐๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนมีกำหนด ๒ ปี นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ ๓๗๙๒/๒๕๓๒ ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ปรับจำเลยข้อหาแรก ๑๐,๐๐๐ บาทโดยนัยเดียวกับจ้อหาที่สอง คงปรับจำเลยเป็นรายวัน วันละ ๕,๐๐๐ บาทนับแต่วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๓๑ ถึงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๓๒ เป็นเวลา๒๗๒ วัน เป็นเงิน ๑,๓๖๐,๐๐๐ บาท รวมปรับทั้งสิ้น ๑,๓๗๐,๐๐๐ บาทลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับ ๖๘๕,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารพิพาทแล้ว แม้ไม่ได้อ้างมาตรา ๖๙แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาการ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาในคำขอท้ายฟ้องศาลก็ย่อมนำมาตราดังกล่าวมาปรับแก่คดีโดยลงโทษจำเลยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าได้ ดังคำพิพากษาศาลชั้นต้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๐ มาตรา ๖๙ บัญญัติความว่า”ถ้าการกระทำตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นการกระทำของผู้ดำเนินการผู้กระทำต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ” กฎหมายมาตรานี้บัญญัติโทษของผู้ดำเนินการหนักขึ้นกว่ากรณีธรรมดา ซึ่งตามบทบัญญัติมาตรา ๔ ของพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้ให้ความหมายของคำว่า “ผู้ดำเนินการ”ไว้ว่า ให้หมายความถึงเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารซึ่งกระทำการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารด้วยตนเอง และหมายความรวมถึงผู้ซึ่งตกลงรับกระทำการดังกล่าวไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม และผู้รับจ้างช่วง แม้ตามฟ้องโจทก์จะระบุว่าจำเลยเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารพิพาท แต่ก็ไม่ได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่า จำเลยได้กระทำผิดในฐานะเป็นผู้ดำเนินการตามความหมายของกฎหมาย ทั้งโจทก์มิได้อ้างมาตรา ๖๙ ซึ่งเป็นบทลงโทษเฉพาะผู้ดำเนินการมาในคำขอท้ายฟ้อง จึงเป็นได้ว่าโจทก์มิได้ฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยในฐานะเป็นผู้ดำเนินการ ศาลย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวได้ เพราะเป็นการศาลอุทธรณ์เกินคำขอของโจทก์ ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา๑๙๒
สำหรับฎีกาของจำเลย จำเลยฎีกกว่า ในความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ระงับการใช้อาคารตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๔ นั้น ศาลอุทธรณ์ไม่ชอบที่จะนำมาตรา ๗๐ มาปรับบทลงโทษด้วย เพราะได้ใช้ปรับกับความผิดฐานใช้อาคารประเภทควบคุมการใช้โดยยังไม่ได้ใบรับรองจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา ๓๒ ไปแล้ว และมาตรา ๖๗ ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษของผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม มาตรา ๔๔ ก็มุ่งเน้นถึงลักษณะการว่าฝืนคำสั่ง มิได้มุ่งเน้นในลักษณะของตัวอาคาร จึงปรับจำเลยในข้อนี้ได้เพียงวันละ ๕๐๐ บาท เท่านั้น หาใช่วันละ ๑๐,๐๐๐บาท ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๐ บัญญัติว่า “ถ้าการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นการกระทำอันเกี่ยวอับอาคารเพื่อพาณิชยกรรม… ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับเป็นสิบเท่าของโทษที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ หรือทั้งจำทั้งปรับ” กรณีตามมาตรา๗๐ นี้ หมายรวมความผิดทุกอย่างที่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว หากมีลักษณะต้องตามที่บัญญัติไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ลงโทษตามมาตรานี้ได้ หาจำต้องเป็นความผิดที่เกี่ยวกับตัวอาคารโดยตรงไม่ ดังนั้น เมื่อจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา ๔๔ ซึ่งจะต้องถูกลงโทษตามมาตรา ๖๗ แล้ว และอาคารที่จำเลยกระทำผิดเป็นอาคารเพื่อพาณิชยกรรม ศาลอุทธรณ์จึงชอบที่จะนำมาตรา๗๐ มาปรับบทลงโทษแก่จำเลยได้
พิพากษายืน.

Share