แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยถูกศาลสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยย่อมหมดอำนาจที่จะทำการใดๆ เกี่ยวแก่ทรัพย์สินของจำเลย การจัดการรวมทั้งการฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยย่อมตกอยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะจัดการแต่ผู้เดียว ตามมาตรา22 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายการที่จะต่อสู้ว่าการทำสัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมอำพรางความจริงที่จำเลยจำนองไว้กับฝ่ายโจทก์นั้น จึงเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะดำเนินการต่อไป และเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงสละข้อต่อสู้ข้อนี้แล้วโดยจำเลยมิได้โต้แย้งคำแถลงนี้แต่ประการใด จำเลยจะยกข้อนี้ขึ้นมาต่อสู้และจะขอสืบพยานอีกหาได้ไม่
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากบ้านเช่าของโจทก์และเรียกค่าเช่าที่ค้างเป็นเงิน 120,000 บาท
จำเลยให้การว่า ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยโดยจำเลยจำนองที่ดินและบ้านไว้กับโจทก์ แต่ได้ทำนิติกรรมอำพรางเป็นขายฝากไว้ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ จึงไม่มีอำนาจฟ้องและต่อสู้ในข้ออื่น ๆ อีกหลายประการ
ก่อนฟ้องคดีนี้ จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดอยู่แล้วโจทก์จึงขอให้ศาลแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามายื่นคำร้องว่า จำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ควรที่ศาลจะจำหน่ายคดีนี้เสียเพื่อให้โจทก์ไปใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติล้มละลายต่อไป โจทก์แถลงว่าขอติดใจดำเนินคดีเฉพาะประเด็นเรื่องขับไล่ต่อไป นอกนั้นขอถอน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงว่าที่ประชุมเจ้าหนี้ของจำเลยได้ลงมติสละข้อต่อสู้ของจำเลยเรื่องการจำนอง เพราะหลักฐานทางทะเบียนเป็นการขายฝากเมื่อโจทก์ติดใจดำเนินคดีเฉพาะเรื่องขับไล่เท่านั้น เจ้าพนักงานก็ขอถอนตัวออกจากคดีนี้ทั้งหมดศาลชั้นต้นเห็นว่าเรื่องขับไล่ไม่เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของจำเลยจึงอนุญาต
ต่อมาโจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลว่า เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สละข้อต่อสู้แล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิหยิบยกขึ้นมาต่อสู้ได้อีก เมื่ออาคารและที่ดินเป็นของโจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิครอบครองต่อไป ชอบที่ศาลจะพิพากษาขับไล่จำเลยได้
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานแล้วพิพากษาว่า แม้ในเบื้องต้นจะมีการตกลงทำจำนอง แต่เมื่อโจทก์ขัดข้องจึงตกลงกันใหม่เป็นขายฝากจำเลยก็ตกลงไปแสดงเจตนาจดทะเบียนเป็นขายฝาก และทำสัญญาเช่ากันไว้ จึงเป็นการตกลงกันเปลี่ยนเจตนาใหม่โดยสุจริตมิได้อำพรางสิ่งใดต่อกัน เมื่อฟังว่าเป็นขายฝาก กรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารตกไปเป็นของโจทก์ จึงให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากเรือนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลย จำเลยได้จำนองไว้โดยทำนิติกรรมอำพรางเป็นขายฝาก จำเลยมีสิทธิจะนำสืบพิสูจน์ถึงเจตนาอันแท้จริงได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประเด็นข้อนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยถูกศาลสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยย่อมหมดอำนาจที่จะกระทำการใด ๆ เกี่ยวแก่ทรัพย์สินของจำเลย การจัดการรวมทั้งการฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยย่อมตกอยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะจัดการแต่ผู้เดียวตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 22 การที่จะต่อสู้ว่าการทำสัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมอำพรางความจริงที่จำเลยจำนองไว้กับนายโท้(บิดาโจทก์) นั้น จึงเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะดำเนินการต่อไป เรื่องนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แถลงสละข้อต่อสู้ในเรื่องจำนองเพราะสัญญาทางทะเบียนเป็นการขายฝากจำเลยมิได้โต้แย้งคำแถลงของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ประการใดเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สละข้อต่อสู้แล้ว จำเลยจะยกข้อเหล่านี้ขึ้นมาเป็นข้อต่อสู้และจะขอสืบพยานอีกหาได้ไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ได้หยิบยกเหตุผลและบทกฎหมายขึ้นกล่าวไว้โดยละเอียดถูกต้องแล้ว
พิพากษายืน