แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
บัตรประจำตัวประชาชนเป็นเอกสารสำคัญของทางราชการที่ออกให้โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการแสดงตนของบุคคล การที่จำเลยที่ 1 แจ้งความเท็จว่าตนชื่อ ป. และบัตรประจำตัวประชาชนของตนสูญหายไป เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานหลงเชื่อจดข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวลงในเอกสารราชการและจำเลยที่ 2 รับรองต่อเจ้าพนักงานว่าจำเลยที่ 1 คือ ป. และบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยที่ 1 สูญหายจริงพร้อมทั้งลงลายมือชื่อในช่องผู้รับรอง และจำเลยทั้งสองยังร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมที่จำเลยทั้งสองร่วมกันทำปลอมขึ้นแสดงต่อเจ้าพนักงานเพื่อขอมีบัตรใหม่ อันเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานออกบัตรประจำตัวประชาชนฉบับใหม่ให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น นับว่าก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ทางราชการ และอาจสร้างความเสียหายให้แก่ประชาชนผู้สุจริตทั่วไปที่จำเลยที่ 1 อาจนำบัตรประจำตัวประชาชนฉบับใหม่ไปใช้แอบอ้างอีกด้วย พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรงไม่สมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่นายประหยัดเศษฤทธิ์ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนประจำที่ว่าการอำเภอเขาวง ผู้กระทำการตามหน้าที่ว่า จำเลยที่ 1 คือนายประมูล ไกรสูญ และบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยที่ 1สูญหายไป เป็นเหตุให้นายประหยัดหลงเชื่อจดข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวลงในบันทึกการรับแจ้งเอกสารเกี่ยวกับบัตรประจำตัวประชาชนสูญหายหรือถูกทำลาย (บ.ป.7) อันเป็นเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน ซึ่งความจริงแล้วจำเลยที่ 1 มิใช่นายประมูลและบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยที่ 1 มิได้สูญหายแต่ประการใดโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายประหยัด นายประมูล ผู้อื่นและประชาชนต่อมาจำเลยที่ 1 ทำปลอมบันทึกการรับแจ้งเอกสารเกี่ยวกับบัตรประจำตัวประชาชนสูญหายหรือถูกทำลายอันเป็นเอกสารราชการของกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ขึ้นบางส่วน โดยจำเลยที่ 1ลงลายมือชื่อปลอมของนายประมูลในช่องผู้แจ้งในเอกสารราชการดังกล่าวโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายประมูลและเจ้าพนักงานปกครองประจำที่ว่าการอำเภอเขาวง กรมการปกครองกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้เจ้าพนักงานกรมการปกครอง และผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่านายประมูลเป็นผู้แจ้งว่าบัตรประจำตัวประชาชนสูญหายและเอกสารราชการดังกล่าวเป็นเอกสารราชการที่แท้จริง หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่นายวิบูลย์ศักดิ์ ชอบหาญ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนประจำที่ว่าการอำเภอเขาวงว่าจำเลยที่ 1 คือนายประมูล และบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยที่ 1 สูญหายไปจำเลยที่ 1 ประสงค์จะมีบัตรประจำตัวประชาชนฉบับใหม่ จึงยื่นคำขอมีบัตรใหม่พร้อมทั้งลงลายมือชื่อว่า “ประมูล ไกรสูญ” อันเป็นลายมือชื่อปลอมในช่องผู้ยื่นคำขอในคำขอมีบัตร มีบัตรใหม่หรือเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชน (บ.ป.1) โดยจำเลยที่ 2 ให้การรับรองต่อเจ้าพนักงานว่าจำเลยที่ 1คือนายประมูล และรายการที่แจ้งในคำขอมีบัตรใหม่กรณีบัตรหายเป็นความจริงพร้อมทั้งลงลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ในช่องผู้รับรองในบันทึกคำให้การรับรองบุคคล อันเป็นการร่วมกันแจ้งข้อความหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการขอมีบัตรและร่วมกันปลอมเอกสารราชการ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายประมูลและเจ้าพนักงานปกครองประจำที่ว่าการอำเภอเขาวง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยผู้อื่นและประชาชน เพื่อให้เจ้าพนักงานกรมการปกครองและผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่านายประมูลเป็นผู้ยื่นคำขอมีบัตรใหม่กรณีบัตรหาย และเอกสารราชการดังกล่าวเป็นเอกสารราชการที่แท้จริง นอกจากนี้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมที่จำเลยทั้งสองร่วมกันทำปลอมขึ้นแสดงต่อนายประหยัดเจ้าพนักงานฝ่ายทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนประจำที่ว่าการอำเภอเขาวงเพื่อขอมีบัตรใหม่กรณีบัตรหาย ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่เจ้าพนักงานฝ่ายทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนประจำที่ว่าการอำเภอเขาวง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ผู้อื่นและประชาชน เป็นเหตุให้นายประหยัดหลงเชื่ออนุมัติให้ออกบัตรประจำตัวประชาชนฉบับใหม่ให้แก่จำเลยที่ 1 ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 4, 5, 6 ตรี, 6 จัตวา, 14ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 264, 265, 268, 91 และ83
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 6 ตรี, 6 จัตวา, 14ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 264 วรรคแรก, 265, 267 และ 268ประกอบมาตรา 83 เป็นการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานร่วมกันแจ้งข้อความหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการขอมีบัตรประจำตัวประชาชน จำคุกคนละ6 เดือน ฐานใช้เอกสารราชการปลอมจำคุกคนละ 6 เดือน และลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการจำคุก 6 เดือน และฐานปลอมเอกสารราชการจำคุก 6 เดือนรวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 24 เดือน จำเลยที่ 2 จำคุกรวม 12 เดือนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 12 เดือน จำเลยที่ 2 จำคุก 6 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14(1)ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 264 วรรคแรก, 265, 267 และ268 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14(1) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกคนละ 3 เดือน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า สมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า บัตรประจำตัวประชาชนเป็นเอกสารสำคัญของทางราชการที่ออกให้โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญประการหนึ่งเพื่อให้เป็นพยานหลักฐานในการแสดงตนของบุคคลการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองนับว่าก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ทางราชการ และอาจสร้างความเสียหายให้แก่ประชาชนผู้สุจริตทั่วไปที่จำเลยที่ 1 อาจนำบัตรประจำตัวประชาชนฉบับใหม่ไปใช้แอบอ้างอีกด้วย พฤติกรรมแห่งคดีจึงเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสองนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน