คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,267,91 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามมาตรา 137 ให้ยกฟ้องข้อหาตามมาตรา 267 โจทก์อุทธรณ์ ส่วนโจทก์ร่วมมิได้อุทธรณ์ สิทธิอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมในข้อหาตามมาตรา 267 จึงยุติ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อหาตามมาตรา 267 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิที่จะฎีกาว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายต่อไปอีกได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,267, 91 กับให้นับโทษจำเลยต่อกับโทษในคดีอื่น จำเลยให้การปฏิเสธแต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อผู้เสียหายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตและพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 2 เดือน คำขออื่นให้ยก โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยกระทำความผิดข้อหาแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 นั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายหาใช่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 แต่ให้ยกฟ้องเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 แล้วนั้น โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ ส่วนโจทก์ร่วมมิได้ยื่นอุทธรณ์ตามสิทธิที่โจทก์ร่วมมีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา การที่โจทก์ร่วมมิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ร่วมมีความพอใจในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว สิทธิของโจทก์ร่วมในการอุทธรณ์ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 จึงเป็นยุติ ดังนั้นโจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิที่จะฎีกาว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายต่อไปอีกได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ร่วมในปัญหาดังกล่าว”
พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share