แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำเบิกความของ ต. พยานโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยเคยมาขอร้องให้ ต. เป็นพยานให้และช่วยปกปิดไว้เป็นความลับนั้น ปรากฏจากคำเบิกความของ ต. เองว่า ต. ถูกกำนัน ก. เรียกตัวไปสอบถามว่าเป็นคนฆ่า ป. หรือไม่ ต. ปฏิเสธว่าไม่ได้ฆ่า กำนัน ก. เอาจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ ต.ดูแล้วพูดว่าถ้าไม่รับจะส่งตัวไปอำเภอ ต. จึงเล่าเรื่องให้ฟังและบอกแก่สารวัตรใหญ่ในวันรุ่งขึ้นว่าจำเลยเป็นคนฆ่าป.คำเบิกความของ ต. ดังกล่าวแล้วจึงมีลักษณะเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาในคดี ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 339 วรรคท้าย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นเลยคำให้การของนายพุธซึ่งถูกจับเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ นอกจากจะเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาแล้วยังเป็นเพียงคำบอกเล่าของนายพุธแก่ตำรวจในชั้นสอบสวนเท่านั้นซึ่งรับฟังไม่ได้ ส่วนนายต๋าคำพยานโจทก์ซึ่งอ้างว่าจำเลยเคยมาขอร้องให้นายต๋าคำเป็นพยานให้และช่วยปกปิดไว้เป็นความลับนั้น ก็ปรากฏจากคำเบิกความของนายต๋าคำเองว่า นายต๋าคำได้ถูกกำนันแก้วเรียกตัวไปสอบถามว่าเป็นคนฆ่านางปราณีหรือเปล่า นายต๋าคำปฏิเสธว่าไม่ได้ฆ่า กำนันแก้วเอาจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ดูแล้วพูดว่าถ้าไม่รับจะส่งตัวไปอำเภอ นายต๋าคำจึงเล่าเรื่องให้ฟังและบอกแก่สารวัตรใหญ่ในวันรุ่งขึ้นว่าจำเลยเป็นคนฆ่านางปราณีคำเบิกความของนายต๋าคำดังกล่าวแล้วจึงมีลักษณะเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาในคดีนี้นั่นเอง พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้
พิพากษายืน