คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 120/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยถึงแก่ความตายก่อนโจทก์ฟ้อง จึงไม่มีสภาพเป็นบุคคลตามกฎหมาย ไม่อาจเป็นคู่ความในคดีได้ โจทก์จึงไม่อาจยื่นฟ้องจำเลยต่อศาล.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2532
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือแจ้งให้ศาลชั้นต้นทราบว่าจำเลยได้ถึงแก่ความตายไปแล้วตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2528ก่อนเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ฟ้องนานถึง 3 ปีเศษ
โจทก์คัดค้านว่า จำเลยยังไม่ถึงแก่ความตาย
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเชื่อว่า จำเลยกับนายธนะ วัฒนะชัยซึ่งถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2528 เป็นบุคคลคนเดียวกัน โจทก์ฟ้องภายหลังจากที่จำเลยถึงแก่ความตายนานเกินกว่า1 ปี เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 82จึงให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยกับนายธนะ วัฒนะชัย ผู้ถึงแก่ความตายเป็นบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ นางสุนันต์ หรือณัฎยา บุญเปีย ภรรยาจำเลยได้มาเบิกความเป็นพยานในชั้นไต่สวนว่าพยานเป็นภรรยาของจำเลยตั้งแต่ พ.ศ. 2508 โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสมีบุตรด้วยกัน 4 คนจำเลยมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า ธนะ วัฒนะชัย ปรากฏตามบัตรประจำตัวประชาชนและใบอนุญาตขับรถยนต์เอกสารหมาย ร.7 ร.8 ร.9 ต่อมาวันที่29 กรกฎาคม 2528 จำเลยได้ถึงแก่ความตายด้วยโรคระบบหายใจล้มเหลวปรากฏตามมรณะบัตรเอกสารหมาย ร.2 พยานได้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกโดยระบุชื่อผู้ถึงแก่ความตายว่านายสันติหรือธนะ จิระศิลป์หรือวัฒนะชัย ต่อศาลแพ่งและศาลแพ่งได้มีคำสั่งตั้งพยานเป็นผู้จัดการมรดกตามคดีหมายเลขแดงที่ 8065/2529 และนายอำเภอเมืองสมุทรปราการได้รับรองว่าจำเลยกับนายธนะ วัฒนะชัย เป็นบุคคลคนเดียวกันตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย ร.3 นอกจากนี้นายสมศักดิ์ วิริยะรัตน์ซึ่งรับราชการเป็นอัยการพิเศษประจำกรม กรมอัยการ พยานอีกปากหนึ่งก็เบิกความสนับสนุนว่า ก่อนพยานจะเข้ารับราชการเคยเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้แก่จำเลยตั้งแต่ พ.ศ. 2510 ถึง พ.ศ. 2517 และหลังจากนั้นก็ยังคงพบปะติดต่อกันตลอดมา จำเลยและนายธนะวัฒนะชัย เป็นบุคคลคนเดียวกัน คำเบิกความของนายสมศักดิ์ซึ่งเป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใดจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ทั้งการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบว่าจำเลยถึงแก่ความตายก็โดยบังเอิญ เนื่องจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตรวจสอบโฉนดที่ดินค้นหาทรัพย์สินของจำเลย หาใช่เพราะนางสุนันต์หรือณัฎยาแจ้งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อันจะฟังว่านางสุนันต์หรือณัฏยามีเจตนาไม่สุจริตไม่ จำเลยได้ถึงแก่ความตายก่อนถูกฟ้องให้ล้มละลายเป็นเวลา 3 ปีเศษ นางสุนันต์หรือณัฏยาไม่เคยทราบมาก่อนว่าจำเลยถูกฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลายเพิ่งทราบเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำการสอบสวนเรื่องนี้ การที่นางสุนันต์หรือณัฏยาร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกโดยระบุว่าผู้ถึงแก่ความตายคือนายสันติหรือธนะหากไม่เชื่อมั่นว่านายสันติหรือธนะเป็นบุคคลคนเดียวกันแล้วคงไม่ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกโดยระบุชื่อผู้ถึงแก่ความตาย 2 ชื่อเพราะอาจมีความผิดทางอาญาได้ ทั้งศาลได้ตรวจบัตรประจำตัวประชาชนและใบอนุญาตขับรถยนต์เอกสารหมาย ร.7 ร.8 ร.9 แล้ว เห็นว่าบุคคลตามภาพถ่ายดังกล่าวเป็นบุคคลคนเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อได้ว่าจำเลยกับนายธนะเป็นบุคคลคนเดียวกัน ที่โจทก์อ้างว่าวันเดือนปีเกิดของจำเลยกับนายธนะไม่ตรงกัน ชื่อบิดามารดาก็ไม่ตรงกันและทางราชการไม่อาจออกบัตรประจำตัวประชาชนให้จำเลยซ้อนกันได้ แต่ปรากฎตามเอกสาร ร.7 และ ร.9 ทางราชการได้ออกบัตรประจำตัวประชาชนให้จำเลยในชื่อที่ต่างกันได้ ข้ออ้างของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายก่อนฟ้องคดีนี้ แสดงว่าขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยไม่มีสภาพเป็นบุคคลตามกฎหมายไม่อาจเป็นคู่ความในคดีได้ โจทก์จึงไม่อาจยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลได้ ที่ศาลล่างทั้งสองให้จำหน่ายคดีของโจทก์ออกจากสารบบความนั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share