คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1000/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ว่าคดีฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงในข้อหาฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งว่าคดีมีมูลเฉพาะข้อหาฐานรับของโจร โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องจำเลยต่อศาลอาญา ในข้อหาฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรจำเลยรับสารภาพรับของโจร ดังนี้ ถือว่า จำเลยรับสารภาพเต็มตามฟ้องในความผิดฐานหนึ่งแล้ว ศาลก็พิพากษาลงโทษจำเลยตามคำรับของจำเลย โจทก์จะโต้แย้งขอนำสืบให้เป็นความผิดอีกฐานหนึ่งไม่ได้ เพราะจะเป็นการนำสืบให้กลายเป็นความผิด 2 ฐานไป
(อ้างฎีกาที่ 1801/2493)
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลอาญา ฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ซึ่งศาลแขวงสั่งว่าคดีมีมูลเฉพาะฐานรับของโจร ศาลอาญาจึงประทับฟ้องเฉพาะข้อหาฐานรับของโจร และจำเลยรับสารภาพ ฐานรับของโจรและศาลลงโทษไปแล้ว โจทก์จะฎีกาขอให้รับประทับฟ้องทั้งฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร จึงไม่เป็นสาระแก่คดี อันควรได้รับการวินิจฉัย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 242(1), 247 และ ป.วิ.อ. มาตรา 15

ย่อยาว

ความว่า พนักงานสอบสวนยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงพระนครเหนือ หาว่าจำเลยทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลแขวงพระนครเหนือไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูลฐานรับของโจร และส่งสำนวนมาพนักงานอัยการ ๆ เห็นว่าศาลแขวงมิได้พิพากษายกฟ้อง ฐานลักทรัพย์ พนักงานอัยการจึงฟ้องจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕, ๓๕๗, ๘๓ ศาลอาญาสั่งประทับฟ้องฐานรับของโจร ส่วนฐานลักทรัพย์ไม่ประทับฟ้อง
จำเลยแถลงขอต่อสู้คดี โจทก์แถลงว่ายังติดใจอุทธรณ์เรื่องที่ศาลสั่งไม่ประทับฟ้องฐานลักทรัพย์ ขอให้รอคดีไว้ระหว่างอุทธรณ์ก่อน ศาลอาญาสั่งให้รอว่า โจทก์จะอุทธรณ์หรือไม่ไว้ก่อน ๑๕ วัน
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลประทับฟ้อง ฐานลักทรัพย์ของโจทก์ไว้พิจารณาด้วย หากศาลสั่งประการอื่น ขอให้ถือว่าคำร้องนี้ เป็นคำร้องคัดค้านการไม่ประทับฟ้องฐานลักทรัพย์ไว้ เพื่อสงวนสิทธิในการอุทธรณ์ต่อไป
วันนัดพิจารณา จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร โจทก์จำเลยแถลงไม่สืบพยาน ศาลอาญาพิพากษาจำคุกจำเลยฐานรับของโจร เมื่อลดแล้วคงจำคุกหกเดือน
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีฟ้องหาว่าจำเลยลักทรัพย์หรือรับของโจรนั้น ถ้าจำเลยรับสารภาพเต็มตามฟ้องในความผิดฐานใดฐานหนึ่งแล้ว ศาลก็พิพากษาลงโทษจำเลยไปตามคำรับของจำเลยนั้น โดยโจทก์ไม่อาจโต้แย้งขอนำสืบให้เป็นความผิดอีกฐานหนึ่งได้ เพราะจะเป็นการนำสืบให้กลาย เป็นความผิด ๒ ฐาน ไป สำหรับคดีนี้ จำเลยก็รับสารภาพฐานรับของโจร ศาลลงโทษจำเลยไปแล้ว ฎีกาโจทก์ที่ขอให้ศาลประทับฟ้องทั้งในฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตร ๒๔๒ (๑) , ๒๔๗ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕
พิพากษายกฎีกาโจทก์

Share