คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 958/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยพิพาทกันตามสัญญาให้สิทธิดำเนินกิจการโรงแรมภายใต้ชื่อธานี โดยมีข้อสัญญาว่า หากมีข้อโต้แย้งใด ๆ เกิดขึ้นจากการตีความหรือเกี่ยวกับหน้าที่หรือความรับผิดชอบตามสัญญานี้ คู่สัญญาจะพยายามทำความเข้าใจและแก้ไขปัญหาระหว่างกันเองก่อน หากยังไม่อาจตกลงกันได้ก็ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำเสนอต่อสภาอนุญาโตตุลาการของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเพื่อตัดสินชี้ขาด จึงเป็นกรณีที่คู่สัญญาตกลงเป็นเงื่อนไขของสัญญาให้ใช้วิธีระงับข้อพิพาทโดยให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด ดังนี้ หากคู่สัญญาฝ่ายใดฟ้องคดีโดยมิได้เสนอข้อพิพาทนั้นต่ออนุญาโตตุลาการ คู่สัญญาฝ่ายที่ถูกฟ้องอาจยื่นคำร้องต่อศาลก่อนวันสืบพยานหรือก่อนมีคำพิพากษาในกรณีที่ไม่มีการสืบพยาน ให้มี คำสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่สัญญาดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อน ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 10 ได้ และข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการนี้ย่อมผูกพันโจทก์ผู้รับโอนสิทธิตามสัญญา นั้นด้วยตามมาตรา 8
โจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้นำข้อโต้แย้งเสนอต่อสภาอนุญาโตตุลาการของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเพื่อตัดสินชี้ขาดก่อนเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขของข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ จำเลยย่อมมีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี ซึ่งศาลต้องไต่สวนก่อนมีคำสั่งตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 10 การที่จำเลยยื่นคำให้การโต้แย้งว่าโจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากไม่ได้เสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดก่อน ถือได้ว่าจำเลยประสงค์จะขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี ทั้งในวันชี้สองสถานศาลก็ได้ สอบถามคู่ความเกี่ยวกับเรื่องข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ อันถือได้ว่า เป็นการไต่สวนแล้ว ศาลจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีได้
ตามข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ หากคู่กรณีตกลงกันได้ ย่อมทำให้ข้อพิพาทหมดสิ้นไป แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต้องเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด ดังนี้ เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้และไม่ตกลงกับโจทก์ย่อมเป็นกรณีที่ไม่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งโจทก์ จะต้องเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดก่อนทั้งเมื่อโจทก์ฟ้องคดี จำเลยก็ให้การยืนยันให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการอยู่ ส่วนที่จำเลย ฟ้องแย้งก็สืบเนื่องมาจากโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย ทำให้เกิดความจำเป็นที่ หากจำเลยจะฟ้องแย้งก็ต้องยื่นเข้ามาในคำให้การ เพื่อรักษาสิทธิของจำเลยเสียก่อนเท่านั้นเพราะขณะยื่นคำให้การและฟ้องแย้งยังไม่แน่ว่า ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้สละเงื่อนไข ตามข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ เมื่อโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อสัญญา ที่ให้ระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการก่อน ศาลจึงต้องมีคำสั่ง จำหน่ายคดี ซึ่งย่อมมีผลให้ไม่มีคดีตามคำฟ้องของโจทก์ให้ต้อง พิจารณาต่อไป ฟ้องแย้งของจำเลยจึงตกไปด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีคุณหญิงชนัตถ์ ปิยะอุย หรือนายชนินทร์ โทณวณิก หรือนางสินี เธียรประสิทธิ์เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน โจทก์มอบอำนาจให้นายสุริยา ส่งสมบูรณ์หรือนายเชิดชัย นำวิวัฒน์ ดำเนินคดีแทน เดิมบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)เป็นเจ้าของเครื่องหมายบริการคำว่า “ธานี” โดยได้จดทะเบียนเครื่องหมายบริการดังกล่าวและต่อมาได้โอนให้แก่โจทก์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2535 จำเลยได้ทำสัญญากับบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เพื่อใช้สิทธิในการดำเนินกิจการโรงแรมภายใต้ชื่อว่าธานี โดยจำเลยได้นำเครื่องหมายบริการคำว่า”ธานี” ไปใช้กับกิจการโรงแรมของจำเลยที่อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคายใช้ชื่อโรงแรมว่า “โรงแรมหนองคาย แกรนด์ธานี” ซึ่งสัญญามีกำหนดระยะเวลา5 ปี จำเลยตกลงชำระเงินค่าตอบแทน โดยชำระภายในเดือนธันวาคม 2535เป็นเงิน 286,800 บาท และปีต่อไปปีละ 573,600 บาท และจำเลยต้องชำระค่าโฆษณาร่วม ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม พนักงานและอื่น ๆ ตามสำเนาสัญญาให้สิทธิดำเนินกิจการโรงแรมภายใต้ชื่อธานี เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 5ต่อมาบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ได้ทำสัญญาโอนสิทธิประโยชน์และมูลหนี้อันเกิดจากสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายบริการคำว่า”ธานี” ที่บริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) มีต่อลูกค้าหรือสมาชิกของบริษัทให้แก่โจทก์โดยมีค่าตอบแทน โจทก์และบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)ได้แจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทราบแล้ว แต่เมื่อครบกำหนดตามสัญญาปรากฏว่าจำเลยค้างชำระค่าสมาชิกในปี 2538 บางส่วนเป็นเงิน286,800 บาท ปี 2539 เป็นเงิน 573,600 บาท และปี 2540 เป็นเงิน363,280 บาท รวมเป็นเงิน 1,223,680 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน85,657.60 บาท ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระแก่โจทก์ในวันที่ 18 สิงหาคม2540 อันเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาตามสัญญา โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 1,554,073.60 บาท และชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 1,223,680 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะหนังสือมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจกระทำการแทนโจทก์เอกสารท้ายคำฟ้องมิได้ระบุให้ฟ้องจำเลย และโจทก์ก็มิได้นำข้อโต้แย้งเสนอต่ออนุญาโตตุลาการเพื่อชี้ขาดตามเงื่อนไขในสัญญาให้สิทธิดำเนินกิจการโรงแรม ภายใต้ชื่อธานีก่อน ขณะทำสัญญาบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) มิใช่เจ้าของเครื่องหมายบริการคำว่า “ธานี” เพราะบริษัทได้จดทะเบียนเครื่องหมายบริการดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2536 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากทำสัญญากับจำเลยแล้ว สัญญาจึงเป็นโมฆะ และคำว่าธานีไม่มีค่านิยม การที่บริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)เสนอให้จำเลยเข้าทำสัญญาด้วยเป็นการฉ้อฉลจำเลยและสิทธิตามสัญญาดังกล่าวเป็นสิทธิเฉพาะตัวไม่เปิดช่องให้โอนกันได้ การที่บริษัทดังกล่าวโอนสิทธิแก่โจทก์จึงต้องห้ามตามกฎหมาย จำเลยได้ชำระค่าสิทธิต่าง ๆ ตามสัญญาให้แก่บริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ไปแล้วเป็นเงินรวม 1,831,200 บาทโดยบริษัทดังกล่าวไม่มีสิทธิรับเงินนี้ และโจทก์ผู้รับโอนสิทธิจากบริษัทดังกล่าวต้องคืนเงินแก่จำเลยขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์ให้คืนเงินจำนวน 1,831,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่จำเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เดิมบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)ประกอบกิจการโรงแรมภายใต้ชื่อดุสิตธานีตั้งแต่ปี 2509 จนมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายทั่วไปทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศและบริษัทดังกล่าวเป็นเจ้าของเครื่องหมายบริการคำว่า “ธานี” ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 จำเลยทราบถึงข้อเท็จจริงนี้แล้วจึงเข้าทำสัญญากับบริษัทดังกล่าว การที่จำเลยชำระหนี้ให้บริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เป็นการชำระหนี้โดยชอบ ทั้งจำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้งต่อโจทก์ เนื่องจากจำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่บริษัทดุสิตธานี จำกัด(มหาชน) ก่อนที่โจทก์จะได้รับโอนสิทธิเรียกร้องมา ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางสอบถามคู่ความทั้งสองฝ่ายในเรื่องข้อสัญญาให้สิทธิจำเลยดำเนินกิจการโรงแรมภายใต้ชื่อธานี ที่กำหนดให้คู่สัญญาเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดแล้ว เห็นว่า โจทก์และจำเลยยังไม่ได้พยายามที่จะทำความเข้าใจและแก้ไขปัญหากันเองประกอบกับจำเลยได้ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์เข้ามาด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าโจทก์และจำเลยได้สละเงื่อนไขแห่งข้อสัญญาที่จะเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดแล้ว จึงให้พิจารณาคดีต่อไป

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,309,337.60 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,223,680 บาทนับตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกินจำนวน 244,736 บาท ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า บริษัทดุสิตธานีจำกัด (มหาชน) ได้ทำสัญญาอนุญาตให้จำเลยใช้สิทธิดำเนินกิจการโรงแรมภายใต้ชื่อธานี (THANI) ซึ่งเป็นเครื่องหมายบริการของบริษัทดุสิตธานี จำกัด(มหาชน) ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.7 ต่อมาบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)ได้ทำสัญญาโอนสิทธิในเครื่องหมายบริการคำว่า “ธานี” แก่โจทก์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมิได้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก่อนชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์และจำเลยพิพาทกันตามสัญญาให้สิทธิดำเนินกิจการโรงแรมภายใต้ชื่อธานี (THANI) สัญญานี้เดิมเป็นสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กับจำเลย ซึ่งทำสัญญากันเป็นหนังสือตามเอกสารหมาย จ.7 และต่อมาโจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาดังกล่าวจากบริษัทดุสิตธานี จำกัด(มหาชน) โดยสัญญาฉบับนี้มีข้อสัญญาเกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการไว้ในข้อ 9 ว่า หากมีข้อโต้แย้งใด ๆ เกิดขึ้นจากการตีความหรือเกี่ยวกับหน้าที่หรือความรับผิดชอบตามสัญญานี้ คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะพยายามทำความเข้าใจและแก้ไขปัญหาระหว่างกันเองก่อน หากข้อโต้แย้งนั้นยังไม่อาจตกลงกันได้ก็ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำเสนอต่อสภาอนุญาโตตุลาการของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเพื่อตัดสินชี้ขาดจึงเป็นกรณีที่คู่สัญญาตกลงเป็นเงื่อนไขของสัญญาให้ใช้วิธีระงับข้อพิพาทตามสัญญานี้โดยให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด ดังนี้ หากคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องคดีเกี่ยวกับข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลการโดยมิได้เสนอข้อพิพาทนั้นต่ออนุญาโตตุลาการตามสัญญา คู่สัญญาฝ่ายที่ถูกฟ้องอาจยื่นคำร้องต่อศาลก่อนวันสืบพยานหรือก่อนมีคำพิพากษาในกรณีที่ไม่มีการสืบพยาน ให้มีคำสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่สัญญาดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อน และเมื่อศาลทำการไต่สวนแล้วไม่ปรากฏว่ามีเหตุที่ทำให้สัญญาอนุญาโตตุลาการนั้นเป็นโมฆะหรือใช้บังคับไม่ได้ด้วยเหตุประการอื่นหรือมีเหตุที่ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญานั้นได้ก็ให้มีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสีย ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 10 ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการนี้ย่อมผูกพัน โจทก์ผู้รับโอนด้วยตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 8 และเมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมิได้นำข้อโต้แย้งเสนอต่อสภาอนุญาโตตุลาการของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเพื่อตัดสินชี้ขาด อันเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขของข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการดังกล่าว จำเลยย่อมมีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี ซึ่งศาลต้องไต่สวนและมีคำสั่งตามบทบัญญัติมาตรา 10 ดังกล่าวข้างต้น และปรากฏว่าจำเลยยื่นคำให้การโต้แย้งว่าโจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากโจทก์ไม่ได้เสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดตามข้อสัญญาดังกล่าวก่อนซึ่งถือได้ว่าจำเลยประสงค์จะขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุที่โจทก์ไม่ได้เสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดเสียก่อนที่จะฟ้องตามมาตรา 10 ดังกล่าวนั่นเอง ทั้งในวันชี้สองสถานศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางก็ได้สอบถามคู่ความเกี่ยวกับเรื่องข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ อันถือได้ว่าเป็นการไต่สวนแล้ว แต่ที่ศาลดังกล่าววินิจฉัยว่าโจทก์และจำเลยไม่ได้พยายามที่จะทำความเข้าใจและแก้ไขปัญหาระหว่างกันเองประกอบกับจำเลยก็ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าเสียหายเข้ามาในคดีนี้เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าโจทก์จำเลยสละเงื่อนไขตามข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการนี้แล้ว จึงให้พิจารณาคดีต่อไปนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นว่า ตามข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการดังกล่าวข้างต้นนั้น หากคู่กรณีทำความตกลงกันได้ก็ย่อมทำให้ข้อพิพาทหมดสิ้นไป แต่ถ้ามีเหตุขัดข้องทำให้ไม่อาจตกลงกันได้แล้วก็ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด ดังนี้เมื่อโจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ แต่จำเลยไม่ชำระและไม่ตกลงกับโจทก์ ย่อมเป็นกรณีที่ไม่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งโจทก์จะต้องเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดเสียก่อนตามข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการนั้นทั้งเมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยไม่เสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดก่อน จำเลยก็ให้การโต้แย้งอ้างเหตุที่โจทก์ไม่ได้เสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดก่อน อันเป็นการยืนยันให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการอยู่ มิใช่เจตนาสละข้อสัญญานี้ ส่วนที่จำเลยฟ้องแย้งเข้ามาก็เป็นกรณีที่สืบเนื่องมาจากเหตุที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยก่อน เป็นเหตุให้เกิดความจำเป็นที่หากจำเลยจะฟ้องแย้งก็ต้องยื่นเข้ามาในคำให้การ เพื่อรักษาสิทธิของจำเลยที่จะกระทำได้ตามกฎหมายเสียก่อนเท่านั้นเพราะขณะยื่นคำให้การและฟ้องแย้งยังไม่แน่ว่าศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ ดังนี้จึงถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่จำเลยได้สละเงื่อนไขตามข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการที่คู่กรณีจะต้องเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดก่อนและไม่ปรากฏว่ามีเหตุที่ทำให้สัญญาอนุญาโตตุลาการนี้เป็นโมฆะหรือใช้บังคับไม่ได้ด้วยเหตุประการอื่นหรือมีเหตุที่ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญานี้ได้ ดังนี้เมื่อโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อสัญญาที่ให้ระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการเสียก่อน และจำเลยโต้แย้งไว้ดังกล่าวแล้ว จึงชอบที่ศาลจะต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้โจทก์จำเลยดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการเกี่ยวกับข้อพิพาทตามสัญญาดังกล่าวในคดีนี้ก่อน ซึ่งย่อมมีผลให้ไม่มีคดีตามคำฟ้องของโจทก์ให้ต้องพิจารณาต่อไป คดีตามคำฟ้องแย้งของจำเลยจึงตกไปด้วยที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่มีคำสั่งจำหน่ายคดี แต่กลับพิจารณาและพิพากษาคดีนี้มาจึงไม่ชอบอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง

พิพากษายกคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ให้จำหน่ายคดีเพื่อให้โจทก์จำเลยดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อน คืนค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลแก่โจทก์และจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นทั้งสองศาลให้เป็นพับ

Share