คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6116/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในนัดพิจารณาก่อนทนายจำเลยแถลงว่าคงติดใจสืบ อ. อีกเพียงปากเดียวแต่วันนี้ไม่มาศาล ขอเลื่อนไปสืบพยานปากนี้ในนัดหน้า หากนัดหน้าไม่สามารถนำมาสืบได้ถือว่าไม่ติดใจสืบพยาน แต่เมื่อถึงวันนัด ฝ่ายจำเลยไม่ได้นำตัว อ. มาสืบโดยอ้างลอย ๆ ว่าไม่สามารถติดตามตัวมาได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลย จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมาย
การที่จำเลยอ้างแถบบันทึกเสียงพร้อมบันทึกข้อความซึ่งอ้างว่าถอดข้อความจากแถบบันทึกเสียงเป็นพยานนั้น จำเลยอ้างส่งแถบบันทึกเสียงเข้ามาลอย ๆ ในขณะที่ทนายจำเลยถามค้านตัวโจทก์ ทั้งในระหว่างพิจารณาไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ยอมรับว่าเสียงในแถบบันทึกเสียงดังกล่าวเป็นของโจทก์แต่อย่างใด จึงไม่อาจใช้ยันโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินจำนวน 1,148,547 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 900,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2538จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 248,547 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีเพื่อติดตามนายอำไพหรืออภัย เอื้อทรงธรรม มาเบิกความเป็นพยานนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2541 หลังจากฝ่ายจำเลยนำพยานปากอื่นเข้าสืบแล้วทนายจำเลยแถลงว่ายังคงติดใจสืบนายอำไพหรืออภัยอีกเพียงปากเดียว แต่วันนี้ไม่มาศาลขอเลื่อนไปสืบพยานปากนี้ในนัดหน้าแต่เมื่อถึงวันนัดฝ่ายจำเลยก็ไม่ได้นำตัวนายอำไพหรืออภัยมาสืบโดยอ้างลอย ๆ ว่าไม่สามารถติดตามตัวมาได้ ทั้งที่จำเลยรู้จักชอบพอกับพยานปากนี้เป็นอย่างดีและได้อ้างไว้ในบัญชีระบุพยานมาตั้งแต่ต้น นอกจากนี้ในวันดังกล่าวทนายจำเลยยังได้แถลงต่อศาลเองว่าหากนัดหน้าไม่สามารถนำนายอำไพหรืออภัยมาสืบได้ถือว่าไม่ติดใจสืบพยาน ดังนั้นเมื่อถึงวันนัดจำเลยไม่นำนายอำไพหรืออภัยมาเบิกความโดยอ้างเหตุเช่นเดิมอีก การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยปากนายอำไพหรืออภัยตามที่ทนายจำเลยแถลงไว้ จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไปตามฟ้องจริงหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์และนางชุติมา วารีเวส ภรรยาโจทก์ซึ่งลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เงินมาเบิกความยืนยันต้องกันว่า เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2538จำเลยได้มาขอกู้เงินโจทก์จำนวน 900,000 บาท มีการทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ไว้ โดยโจทก์เป็นผู้กรอกข้อความในสัญญาต่อหน้าจำเลยและก่อนที่จำเลยจะลงลายมือชื่อได้อ่านข้อความในสัญญาแล้ว ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าสัญญากู้เงินเกิดจากจำเลยนำเช็คของนายอำไพหรืออภัย เอื้อทรงธรรม 3 ฉบับ สั่งจ่ายเงินฉบับละ 300,000 บาท ไปแลกเงินสดจากโจทก์ให้แก่นายอำไพหรืออภัย โจทก์ได้ให้จำเลยลงลายมือชื่อในแบบหนังสือสัญญากู้เงินที่ยังไม่ได้กรอกข้อความให้แก่โจทก์ไว้ต่อมานายอำไพหรืออภัยได้ชำระหนี้เป็นสินค้าให้แก่โจทก์จนครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ยังไม่ได้คืนหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวแก่จำเลยนั้น เห็นว่า นอกจากจำเลยจะไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการนำเช็คของนายอำไพหรืออภัยไปแลกเงินสดจากโจทก์มาแสดงแล้ว ที่จำเลยนำสืบว่าเป็นผู้นำเช็คไปแลกเงินสดจากโจทก์ด้วยตนเองก็ขัดกับคำให้การของจำเลยที่ว่าจำเลยเป็นผู้แนะนำผู้มีชื่อให้นำเช็คไปแลกเงินสดจากโจทก์ ทั้งไม่ปรากฏว่ามีเหตุผลหรือความจำเป็นอย่างใดที่จำเลยจะต้องนำเช็คมาขายแลกเงินสดจากโจทก์แทนนายอำไพหรืออภัยโดยต้องยอมตนเข้าผูกพันเช่นนั้น แม้จำเลยจะมีเช็คซึ่งจำเลยอ้างว่านายอำไพหรืออภัยเป็นผู้นำมาเปลี่ยนให้โจทก์ เมื่อเช็คของนายอำไพหรืออภัยที่จำเลยนำมาแลกเงินสดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน แต่จำเลยก็ไม่อาจนำนายอำไพหรืออภัยมาเบิกความยืนยันจนศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานปากนี้ ทั้งโจทก์ก็นำสืบปฏิเสธว่าเช็คดังกล่าวไม่เกี่ยวกับหนี้รายนี้ ส่วนที่จำเลยนำนายปราโมทย์ ชัยเพิ่มกุลนางสุภารัตน์ สุขพึ่งธรรม นายชูศิลป์ คงสุนทร นายพนาวัลย์ จีนถนอมและนายพรศิริ คำสระ มาเป็นพยานเบิกความทำนองว่า จำเลยนำเช็คของนายอำไพหรืออภัยไปขอแลกเงินสดจากโจทก์มิได้กู้เงินโจทก์ แต่พยานเหล่านี้ก็ไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเองคงรับฟังข้อเท็จจริงจากจำเลยหรือบุคคลอื่นเท่านั้น จึงเป็นเพียงพยานบอกเล่าไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง และที่จำเลยอ้างแถบบันทึกเสียงพร้อมบันทึกข้อความซึ่งอ้างว่าถอดข้อความจากแถบบันทึกเสียงเป็นพยานนั้นเห็นว่า จำเลยอ้างส่งแถบบันทึกเสียงเข้ามาลอย ๆ ในขณะที่ทนายจำเลยถามค้านตัวโจทก์ ทั้งในระหว่างพิจารณาไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ยอมรับว่าเสียงในแถบบันทึกเสียงดังกล่าวเป็นของโจทก์แต่อย่างใดจึงไม่อาจใช้ยันโจทก์ได้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไปจริงตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้เงิน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share