คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6136/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เหตุรถชนเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์และจำเลยที่ 3 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่อร่วมด้วยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินจำนวน 2,002,490บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกนายกฤษณะ เริ่มยินดี ทายาทของจำเลยที่ 2 เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าโจทก์ขับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 4 ต – 5464เฉี่ยวชนกับรถรับจ้างสาธารณะสามล้อเครื่องหมายเลขทะเบียน 1 ส – 6343กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ขับ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสและรถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า เหตุรถชนกันเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 3หรือไม่ และค่าเสียหายของโจทก์เป็นจำนวนเท่าใด ในปัญหาแรกโจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่า จำเลยที่ 3 ขับรถสามล้อเครื่องออกจากประตูวัดบพิตรพิมุขเข้าสู่ถนนจักรวรรดิและพุ่งชนรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับถูกบริเวณด้านท้ายรถจักรยานยนต์ และจำเลยที่ 3 นำสืบว่าโจทก์ขับรถจักรยานยนต์ออกจากถนนอนุวงศ์เข้าสู่ถนนจักรวรรดิ และพุ่งชนรถสามล้อเครื่องที่จำเลยที่ 3 ขับมาตามทางตรง ทางนำสืบของโจทก์และจำเลยที่ 3 จึงขัดแย้งกันอยู่ในเรื่องเส้นทางเดินรถของแต่ละฝ่ายก่อนเกิดเหตุ เมื่อพิจารณาคำเบิกความของร้อยตำรวจโทวิศิษฎ์ไพฑูรย์กิจพาณิชย์ พยานโจทก์ ซึ่งไปถึงที่เกิดเหตุทันทีและเป็นผู้ชี้จุดเกิดเหตุให้พนักงานสอบสวนจัดทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุตามเอกสารหมาย จ.20 ซึ่งยืนยันว่า โจทก์และจำเลยที่ 3 ขับรถมาในทิศทางเดียวกันตามถนนจักรวรรดิ มุ่งหน้าไปยังเชิงสะพานพระปกเกล้าและถนนจักรวรรดิเป็นทางเดินรถทางเดียวร้อยตำรวจโทวิศิษฎ์ปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านตรวจห่างจากจุดที่เกิดเหตุเพียง 200 เมตรถือได้ว่าอยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.20 ได้จัดทำขึ้นทันทีหลังเกิดเหตุโดยพนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและไม่ปรากฏว่าร้อยตำรวจโทวิศิษฎ์และพันตำรวจตรีชัยยุทธ เจียรศิริกุล พนักงานสอบสวน เคยรู้จักโจทก์และจำเลยที่ 3 มาก่อน หรือเคยมีสาเหตุบาดหมางโกรธเคืองโจทก์และจำเลยที่ 3 เป็นส่วนตัว ถือได้ว่าเป็นพยานคนกลาง จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะเบิกความเข้าข้างหรือเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายใดเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความไปตามความจริงตามที่รู้เห็นเกี่ยวข้องคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองประกอบแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.20 จึงมีน้ำหนักรับฟังเชื่อถือได้ และหากพิจารณาจุดเกิดเหตุที่อยู่ห่างจากประตูทางเข้าวัดบพิตรพิมุขไม่มากนักแทบจะกล่าวได้ว่าจุดเกิดเหตุอยู่หน้าประตูทางเข้าวัดบพิตรพิมุข หากจำเลยที่ 3 ขับรถสามล้อเครื่องเลี้ยวออกมาจากซอยดังกล่าวความเร็วของรถสามล้อเครื่องที่จำเลยที่ 3 ขับจะต้องไม่สูงมากนัก แต่จากสภาพความเสียหายของรถสามล้อเครื่องที่จำเลยที่ 3 ขับ ได้รับความเสียหายรุนแรงและเมื่อเกิดเหตุแล้ว รถสามล้อเครื่องที่จำเลยที่ 3 ขับยังพุ่งชนทางเดินเท้าและต้นไม้ข้างถนน อันแสดงว่าจำเลยที่ 3 ขับรถสามล้อเครื่องมาด้วยความเร็วสูง จึงมีเหตุให้เชื่อว่าจำเลยที่ 3 ขับรถสามล้อเครื่องมาทางตรงมากกว่าที่จะเลี้ยวออกมาจากประตูวัดบพิตรพิมุขดังที่โจทก์นำสืบเจือสมกับคำเบิกความของพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงมีเหตุรับฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 3 ขับรถมาในทิศทางเดียวกันตามถนนจักรวรรดิมุ่งหน้าไปทางเชิงสะพานพระปกเกล้าด้วยกัน ขณะเกิดเหตุมีฝนตกปรอย ๆ ถนนลื่น หากโจทก์และจำเลยที่ 3 ต่างฝ่ายต่างใช้ความระมัดระวังด้วยกันทั้งคู่แล้วคงจะไม่เกิดเหตุเฉี่ยวชนกันดังกล่าว จุดที่เกิดเหตุอยู่ในช่องเดินรถด้านขวาชิดขอบถนน จำเลยที่ 3 ประมาทเลินเล่อขับรถสามล้อเครื่องมาด้วยความเร็วสูง และถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสกับฐานหลบหนีไม่หยุดช่วยเหลือ ไม่แสดงตัวและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที และศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ได้ขับรถโดยประมาทจริง แต่ก็ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า ก่อนเกิดเหตุโจทก์ขับรถจักรยานยนต์ไปซื้อของที่บริเวณหน้าโรงพยาบาลกลาง ระหว่างทางขากลับบ้านโจทก์นึกได้ว่า โจทก์ลืมซื้อลำโพงเครื่องขยายเสียง โจทก์จึงขับรถจักรยานยนต์ชิดช่องเดินรถด้านขวาเพื่อจะเลี้ยวกลับไปซื้อลำโพงเครื่องขยายเสียงดังกล่าวจากคำเบิกความของโจทก์ แสดงว่าโจทก์ไม่ได้ขับรถจักรยานยนต์มาในช่องเดินรถด้านขวาชิดขอบถนนแต่แรก เพิ่งจะมาเปลี่ยนช่องเดินรถเข้ามาในช่องเดินรถด้านขวา อันเป็นช่องที่เกิดเหตุในขณะที่โจทก์คิดจะเลี้ยวรถจักรยานยนต์กลับไปซื้อของที่ลืม เมื่อพิจารณาภาพถ่ายรถที่เกิดเหตุทั้งสองคัน จะเห็นว่ารถจักรยานยนต์ของโจทก์มีรอยถูกชนบริเวณช่วงกลางของตัวรถจักรยานยนต์ด้านขวา มิใช่ที่ท่อไอเสีย ด้านหลัง ส่วนรถสามล้อเครื่องที่จำเลยที่ 3 ขับ ล้อหน้าหัก บังโคลนหน้ามีรอยบุบบังโคลนล้อหลังด้านซ้ายมีรอยครูดยาว ลักษณะดังกล่าวแสดงว่าด้านซ้ายของรถสามล้อเครื่องที่จำเลยที่ 3 ขับเฉี่ยวชนด้านขวาของรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับ ในขณะที่โจทก์เปลี่ยนช่องเดินรถเข้ามาในช่องเดินรถด้านขวาชิดขอบถนน ในเวลาเดียวกันกับที่จำเลยที่ 3 ขับรถสามล้อเครื่องมาด้วยความเร็วสูงในช่องเดินรถดังกล่าว ซึ่งจากคำเบิกความของพันตำรวจตรีชัยยุทธและร้อยตำรวจโทวิศิษฎ์พยานโจทก์ยืนยันว่าจากลักษณะการชนดังกล่าว สาเหตุเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์และจำเลยที่ 3 จึงได้แจ้งข้อหาแก่โจทก์ในความผิดฐานขับรถโดยประมาทด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่อร่วมด้วยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันดังวินิจฉัยมาข้างต้นจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์กรณีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาเกี่ยวแก่ค่าเสียหายของโจทก์อีก ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share