แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์มาใช้ในกิจการค้าของจำเลยที่ 1 หาเป็นการนอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ไม่
การที่โจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้กู้ และรับเงินจากโจทก์ไปต่างกับฟ้องที่ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้ เมื่อข้อเท็จจริงเป็นอันยุติ และตามอุทธรณ์ฎีกาของจำเลยยอมรับว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้เงินโจทก์แล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยปัญหานี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ หุ้นส่วนผู้จัดการ กู้เงินโจทก์ไปโดยไม่ได้กำหนดเวลาชำระเงินกู้คืน มีจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ เป็นผู้ค้ำประกัน นับแต่กู้เงินไปจำเลยที่ ๑ ไม่เคยชำระต้นเงินและดอกเบี้ย ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มีวัตถุประสงค์ในการกู้ยืมเงินจึงเป็นการกระทำนอกเหนือวัตถุประสงค์ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย และต่อสู้ในข้ออื่นอีก
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นนิติกรรมอำพรางจำเลยที่ ๑ ไม่มีวัตถุประสงค์ในการกู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกันจึงไม่มีผลตามกฎหมายโจทก์ไม่เคยทวงถามจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ร่วมกันชำระเงินต้นและดอกเบี้ยตามฟ้อง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ คงให้รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดไม่มีวัตถุประสงค์ในการกู้ยืมเงิน สัญญากู้ยืมเงินจะมีผลผูกพันจำเลยที่ ๑ หรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เงินจำนวน ๒๓๐,๐๐๐ บาท ที่จำเลยที่ ๑ กู้มาจากโจทก์นั้นได้นำมาใช้ในกิจการค้าของจำเลยที่ ๑ จึงหาเป็นการนอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๑ ไม่ และมีผลผูกพันจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด กับจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน จึงต้องรับผิดในเงินจำนวนนี้ตามสัญญากู้ และสัญญาค้ำประกัน
การที่โจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ ๒ เป็นผู้กู้และรับเงินจากโจทก์ไปจำเลยที่ ๒ เคยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ ๒ ปี ต่างกับฟ้องที่อ้างว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้กู้นั้น เมื่อข้อเท็จจริงเป็นอันยุติและตามอุทธรณ์ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ยอมรับว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้กู้เงินโจทก์แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว
พิพากษายืน