แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกาโจทก์โจทก์เห็นว่าฎีกาโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 29)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 31)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ทำการตรวจพิสูจน์เอกสารและทำรายงานผลการตรวจพิสูจน์แล้ว พยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงไม่ถูกต้อง จึงเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ยกคำร้อง