คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 700/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกมาจากจำเลยที่ 1 เพื่อนำไปเข้าร่วมเดินรถกับบริษัทสหรถเมล์เล็กธนบุรี จำกัด ผู้ได้รับอนุญาตให้เดินรถประจำทาง ตามระเบียบของกระทรวงคมนาคม บริษัทฯ จะต้องมีรถของตนเอง ถ้าจะนำรถของผู้อื่นมาร่วมจะต้องโอนทะเบียนรถให้เป็นของบริษัทฯ เสียก่อน โจทก์จึงขอให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายรถให้โจทก์เพื่อโจทก์จะได้นำสัญญาซื้อขายไปโอนทะเบียนรถยนต์ให้เป็นของบริษัทฯการทำสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ก็เพื่อช่วยเหลือโจทก์ให้นำรถยนต์ที่โจทก์เช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 เข้าร่วมในกิจการเดินรถของบริษัทฯ ได้เท่านั้น คู่สัญญาไม่มีเจตนาผูกพันกันตามสัญญาซื้อขาย แต่มีเจตนาผูกพันกันตามสัญญาเช่าซื้อสัญญาซื้อขายเป็นแต่เพียงการแสดงเจตนาลวงและเป็นนิติกรรมอำพราง จึงไม่มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 เมื่อโจทก์ค้างชำระค่าเช่าซื้อหลายงวดติดต่อกัน จำเลยที่ 1 ก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ และยึดรถกลับคืนได้ ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
เอกสารซึ่งเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญในคดี แม้จำเลยจะไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้โจทก์ ศาลก็มีอำนาจรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2514 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะห้างหุ้นส่วนจำกัดนครปฐมยนตรกาญจน์ได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ก.จ.04935 พร้อมอุปกรณ์ติดรถในราคา 96,000 บาท โจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลยในวันทำสัญญา 20,000 บาท ที่เหลือตกลงชำระกันเป็นงวด งวดละ 2,500 บาท จนกว่าจะครบ ต่อมาเมื่อวันที่ 11เมษายน 2515 โจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.จ.5354 พร้อมอุปกรณ์ในราคา 96,000 บาท โจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลยในวันทำสัญญา 18,000 บาท ที่เหลือชำระเป็นงวด งวดละ 2,400บาทจนกว่าจะครบ โจทก์ได้ชำระค่างวดให้แก่จำเลยโดยไม่ผิดสัญญาตลอดมาจำเลยใช้สิทธิโดยไม่สุจริตกลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหายบีบบังคับโจทก์ด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้โจทก์ชำระเงินจำนวนที่ค้างอยู่ทั้งหมดในงวดเดียวผิดจากข้อตกลงในสัญญาซื้อขาย ต่อมาเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2516 จำเลยได้ยึดรถยนต์ทั้งสองคันคืนอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสามจะต้องร่วมกันรับผิดชอบในค่าเสียหายต่อโจทก์ โดยโจทก์ขอคิดค่าเสียหาย 200,000 บาทขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนรถยนต์ทั้งสองคันให้โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อยพร้อมทั้งชำระค่าเสียหาย 200,000 บาทให้แก่โจทก์

จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 3 มิได้เป็นกรรมการจำเลยที่ 1 และมิได้กระทำการใด ๆ แทนจำเลยที่ 1จำเลยทั้งสามไม่ได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายรถยนต์บรรทุกกับโจทก์ โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ทั้งสองคันกับจำเลยที่ 1 แล้วชำระเงินค่าเช่าซื้อรถคันแรกเพียง 17 งวด ตั้งแต่งวดที่ 18 ถึงงวดที่ 29 ผิดสัญญาตลอดมาส่วนรถยนต์คันที่สองโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อเพียง 13 งวด ตั้งแต่งวดที่ 14 ถึงงวด 22 โจทก์ผิดสัญญาตลอดมา จำเลยที่ 1จึงบอกเลิกสัญญาและยึดรถทั้งสองคันกลับคืนมาจำเลยทั้งสามไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยมีเจตนาทำสัญญาเช่าซื้อกันสัญญาซื้อขายเป็นเพียงนิติกรรมอำพราง การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจากจำเลยที่ 1 สองคัน โดยชำระเงินให้จำเลยที่ 1 ในวันทำสัญญาบางส่วนที่เหลือผ่อนชำระให้เป็นงวด ๆ งวดละเดือน แต่เนื่องจากโจทก์จะนำรถทั้งสองคันไปเข้าร่วมเดินรถกับบริษัทสหรถเมล์เล็กธนบุรี จำกัด ผู้ได้รับอนุญาตให้เดินรถประจำทางตามเส้นทางที่กำหนดซึ่งตามระเบียบของกระทรวงคมนาคม บริษัทจะต้องมีรถของตนเอง ถ้าจะนำรถของผู้อื่นมาร่วมจะต้องโอนทะเบียนรถให้เป็นของบริษัทเสียก่อน โจทก์จึงขอให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายรถให้โจทก์ เมื่อโจทก์นำสัญญาซื้อขายไปโอนทะเบียนรถยนต์ให้เป็นของบริษัทสหรถเมล์เล็กธนบุรี จำกัด แล้ว บริษัทสหรถเมล์เล็กธนบุรีจำกัด ก็ทำบันทึกตามเอกสารที่โจทก์อ้างส่งศาลว่าบริษัทเป็นเจ้าของรถยนต์แต่เพียงทางทะเบียนเท่านั้น กรรมสิทธิ์รถยนต์อันแท้จริงยังเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดราชบุรีจินดาพานิช ที่เป็นเช่นนี้เพราะจำเลยที่ 1 ซื้อรถยนต์จากห้างหุ้นส่วนจำกัดราชบุรี จินดาพานิชมาให้โจทก์เช่าซื้ออีกต่อหนึ่งการทำสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยที่ 1 ก็เพื่อช่วยเหลือโจทก์ให้นำรถยนต์ที่โจทก์เช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 เข้าร่วมในกิจการเดินรถของบริษัทสหรถเมล์เล็กธนบุรี จำกัด ได้เท่านั้น คู่สัญญาไม่มีเจตนาผูกพันกันตามสัญญาซื้อขาย แต่มีเจตนาผูกพันกันตามสัญญาเช่าซื้อ สัญญาซื้อขายเป็นแต่เพียงการแสดงเจตนาลวงและเป็นนิติกรรมอำพราง จึงไม่มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 เมื่อโจทก์ค้างชำระค่างวด จำเลยที่ 1 ก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและยึดรถกลับคืนได้ ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย ล.19 ให้โจทก์ จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้น เห็นว่าเอกสารฉบับนี้เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญในคดี แม้จำเลยจะไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้โจทก์ ศาลก็มีอำนาจรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2)

พิพากษายืน

Share