คำสั่งคำร้องที่ 2505/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยทั้งสองยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุกไม่เกิน5 ปี ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 นั้น ให้รับฎีกาจำเลยที่ 1 เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ยึดหน่วงรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ ก็เพียงเพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้จากนายสนธยาเท่านั้นหาได้มีเจตนาทุจริตในการรับของโจรไม่ จึงเป็นข้อกฎหมายอันเป็นองค์ประกอบของความผิด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 113 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 จำคุก 3 ปี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก,83 จำคุกคนละ 3 ปีจำเลยทั้งสองฎีกา เฉพาะเกี่ยวกับฎีกาของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 108)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 110)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เฉพาะจำเลยที่ 1 นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุก 3 ปี คดีของจำเลยที่ 1 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218วรรคแรก ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 รับซื้อรถยนต์ของกลางจากนายสนธยา โดยรู้อยู่ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา การที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ยึดรถยนต์ของกลางไว้เพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้จากนายสนธยาเท่านั้น หาได้มีเจตนาทุจริตในการรับของโจรไม่นั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยที่ 1 ชอบแล้วให้ยกคำร้อง

Share