แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าทรัพย์เอาเงินเหน็บไว้ชายผ้าแล้วเดินไปธุระ จำเลยเดินมาตามถนนพบธนบัตรตกอยู่ก็เก็บเอาเสีย เจ้าทรัพย์พอรู้สึกว่าเงินที่เหน็บไว้หายไป ก็รีบไปดูตามทางเพราะไม่รู้ว่าตกที่ไหน ไปสอบถามจำเลยว่าเห็นเงินตกตามทางบ้างไหม จำเลยปฏิเสธ ดังนี้ เห็นว่า ตอนจำเลยเก็บเงินไปนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นของใครและก็ไม่รู้ว่าเจ้าของกำลังติดตามอยู่ ฉะนั้น เมื่อจำเลยเก็บเงินตกกลางทางได้ และเอาเป็นประโยชน์ของตนเสียโดยเจตนาทุจริต เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหายซึ่งจำเลยเก็บได้
ฟ้องว่าจำเลยลักเงิน ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยเก็บเงินตกกลางทางได้ และเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัว โดยเจตนาทุจริตอันเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหายซึ่งจำเลยเก็บได้ ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจึงแตกต่างกับฟ้องอันเป็นสารสำคัญของคดีลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตามฟ้องไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลักเอาเงิน ๘๒ บาทของนางศรีไปโดยทุจริตขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๔ กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๔ ให้จำคุกจำเลย ๑ เดือน กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๘๒ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในสารสำคัญของคดี พิพากษากลับเป็นให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า เจ้าทรัพย์เอาเงิน ๘๒ บาทเหน็บไว้ที่ชายผ้าแล้วเดินไปธุระที่บ้านพี่สาว จำเลยเดินมาตามถนนพบธนบัตรตกอยู่กลางถนน ก็เก็บไว้ ฝ่ายเจ้าทรัพย์รู้สึกตัวว่าเงินหายไป ก็รีบไปดูตามทางที่ผ่านไป ไปสอบถามจำเลยว่าเห็นเงินตกตามทางบ้างไหม จำเลยปฏิเสธ
ศาลฎีกาเห็นว่า เจ้าทรัพย์ไม่รู้ว่าเงินตกตรงไหน ตอนจำเลยเก็บเงินไปนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นของใครและไม่รู้ว่าเจ้าทรัพย์กำลังติดตามอยู่ ฉะนั้น เมื่อจำเลยเก็บเงินตกกลางทางได้และเอาเป็นประโยชน์ของตนเสียโดยเจตนาทุจริต เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหายซึ่งจำเลยเก็บได้ตามประมวลกฎหมายอาญา ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจึงแตกต่างกับฟ้องที่กล่าวว่าจำเลยลักทรัพย์อันเป็นสารสำคัญของคดี จึงลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตามฟ้องไม่ได้ดังบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๙๒ วรรค ๒ ที่แก้ไขใหม่ พิพากษายืน