คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8767/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10 ได้บัญญัติไว้ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่งให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหาร หรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่น ในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว ถ้าศาลที่รับความเห็นมีความเห็นพ้องกับศาลที่ส่งความเห็นให้แจ้งความเห็นไปยังศาลที่ส่งความเห็นเพื่อมีคำสั่งให้โอนคดีไปยังศาลนั้นหรือสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่ความไปฟ้องศาลที่มีเขตอำนาจ แต่ถ้าศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น ให้ศาลที่ส่งความเห็นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจศาลใด และวรรคท้ายของมาตราดังกล่าวยังบัญญัติให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเองก่อนมีคำพิพากษาด้วยโดยอนุโลม ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดยะลา) ยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ขึ้นวินิจฉัยเสียก่อนเบื้องต้นแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับฟ้องโจทก์ไว้เป็นไม่รับฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองในฐานะหน่วยงานของรัฐซึ่งฟ้องได้บรรยายถึงการกระทำโดยการใช้อำนาจทางกฎหมายของจำเลยทั้งสองอันเป็นที่มาของการก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ถือได้ว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่รัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) นั้น เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นเห็นเองว่าคดีโจทก์อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองก่อนมีคำพิพากษา ซึ่งกรณีนี้ได้แก่ศาลปกครองสงขลา ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะดำเนินการตามขั้นตอนของบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น กล่าวคือ ศาลชั้นต้นต้องจัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลปกครองสงขลา หากศาลปกครองสงขลาเห็นว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองสงขลา ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะโอนคดีไปยังศาลปกครองสงขลา หรือจำหน่ายคดีเพื่อให้โจทก์ไปฟ้องคดีที่ศาลปกครองสงขลา แต่ถ้าศาลปกครองสงขลามีความเห็นแตกต่างในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนี้ ศาลชั้นต้นก็ต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับฟ้องไว้เป็นไม่รับฟ้องและศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งห้าสิบสามฟ้องขอบังคับจำเลยทั้งสอง ยกเลิกสัญญาให้ใช้สิทธิเหนือพื้นดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้หรือคดีถึงที่สุด ให้จำเลยที่ 1 หยุดคุกคามโจทก์ทุกคนในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้ข่มขู่รื้อถอนอาคารบางส่วน และขับไล่ไม่ให้จำหน่ายสินค้าในตลาดซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินบริเวณย่านสถานีรถไฟยะลาที่โจทก์ที่ 1 ทำสัญญาเช่ากับจำเลยที่ 2 และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้าสิบสาม
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน ความปรากฏแก่ศาลชั้นต้นว่า สภาทนายความมีคำสั่งลบชื่อนายสมนึก ผู้รับมอบอำนาจและเป็นทนายโจทก์ทั้งห้าสิบสามออกจากทะเบียนทนายความตั้งแต่ก่อนโจทก์ทั้งห้าสิบสามฟ้องคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งรับฟ้องและมีคำสั่งใหม่ไม่รับฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่โจทก์ทั้งห้าสิบสาม จำหน่ายคดีจากสารบบความ
โจทก์ทั้งห้าสิบสามอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ทั้งห้าสิบสามฎีกา ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำฟ้องของโจทก์ทั้งห้าสิบสาม ให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องของโจทก์ทั้งห้าสิบสามไว้พิจารณาและพิพากษาต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 4 และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ทั้งห้าสิบสามยื่นคำร้องขอให้โอนคดีไปพิจารณาที่ศาลปกครองสงขลา ต่อมาศาลชั้นต้นไกล่เกลี่ยคู่ความที่มาศาล โจทก์ที่ 4 ถึงที่ 8 ที่ 12 ที่ 13 ที่ 16 ที่ 19 ถึงที่ 21 ที่ 23 ที่ 24 ที่ 26 ถึงที่ 30 ที่ 32 ที่ 41 ที่ 52 ที่มาศาลรวม 21 คน แถลงต่อศาลชั้นต้นขอถอนฟ้อง จำเลยทั้งสองไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาต ให้จำหน่ายคดีสำหรับโจทก์ทั้ง 21 คน ที่ขอถอนฟ้องในส่วนที่โจทก์อื่นขอให้โอนคดีไปพิจารณาที่ศาลปกครองสงขลา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้คู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีมีสิทธิที่จะยื่นคำร้อง เมื่อเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองได้ บทบัญญัติดังกล่าวไม่เปิดช่องให้โจทก์หรือผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ยื่นคำร้องเอง จึงไม่อาจยื่นคำร้องขอให้โอนคดีไปพิจารณาที่ศาลปกครองสงขลาได้ ให้ยกคำร้อง และศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นอำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 14 ที่ 15 ที่ 17 ที่ 18 ที่ 22 ที่ 25 ที่ 31 ที่ 33 ถึงที่ 40 ที่ 42 ถึงที่ 51 และที่ 53 รวม 32 คน ว่า โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองในฐานะหน่วยงานของรัฐโดยบรรยายถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยการใช้อำนาจทางกฎหมายของจำเลยทั้งสอง ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทุกคนถือได้ว่า เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลยุติธรรมไม่มีอำนาจรับคดีไว้พิจารณา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้อง กระทำโดยผิดหลง จึงเพิกถอนคำสั่งรับฟ้อง และมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์ที่เหลือทั้ง 32 คน ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความคืนค่าขึ้นศาล 18,000 บาท แก่โจทก์ทั้งห้าสิบสาม
โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 14 ที่ 15 ที่ 17 ที่ 18 ที่ 22 ที่ 25 ที่ 31 ที่ 33 ถึงที่ 40 ที่ 42 ถึงที่ 51 และที่ 53 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลนอกจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คืนแก่โจทก์ทั้งห้าสิบสามให้เป็นพับ
โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 14 ที่ 15 ที่ 17 ที่ 18 ที่ 22 ที่ 25 ที่ 31 ที่ 33 ถึงที่ 40 ที่ 42 ถึงที่ 51 และที่ 53 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 14 ที่ 15 ที่ 17 ที่ 18 ที่ 22 ที่ 25 ที่ 31 ที่ 33 ถึงที่ 40 ที่ 42 ถึงที่ 51 และที่ 53 ว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับฟ้องไว้แล้วมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้องโจทก์และศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10 ได้บัญญัติไว้ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่งให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหาร หรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่น ในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว ถ้าศาลที่รับความเห็นมีความเห็นพ้องกับศาลที่ส่งความเห็นให้แจ้งความเห็นไปยังศาลที่ส่งความเห็นเพื่อมีคำสั่งให้โอนคดีไปยังศาลนั้น หรือสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่ความไปฟ้องศาลที่มีเขตอำนาจ แต่ถ้าศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น ให้ศาลที่ส่งความเห็นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจศาลใด และวรรคท้ายของมาตราดังกล่าวยังบัญญัติให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเอง ก่อนมีคำพิพากษาด้วยโดยอนุโลม ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ขึ้นวินิจฉัยเสียก่อนเบื้องต้นแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับฟ้องโจทก์ไว้เป็นไม่รับฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองในฐานะหน่วยงานของรัฐ ซึ่งฟ้องได้บรรยายถึงการกระทำโดยการใช้อำนาจทางกฎหมายของจำเลยทั้งสองอันเป็นที่มาของการก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ถือได้ว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่รัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) นั้น เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นเห็นเองว่าคดีโจทก์อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองก่อนมีคำพิพากษา ซึ่งกรณีนี้ได้แก่ศาลปกครองสงขลา ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะดำเนินการตามขั้นตอนของบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น กล่าวคือศาลชั้นต้นต้องจัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลปกครองสงขลา หากศาลปกครองสงขลาเห็นว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองสงขลา ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะโอนคดีไปยังศาลปกครองสงขลา หรือจำหน่ายคดีเพื่อให้โจทก์ไปฟ้องคดีที่ศาลปกครองสงขลา แต่ถ้าศาลปกครองสงขลามีความเห็นแตกต่างในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนี้ ศาลชั้นต้นก็ต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับฟ้องไว้เป็นไม่รับฟ้องและศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ฎีกาของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 14 ที่ 15 ที่ 17 ที่ 18 ที่ 22 ที่ 25 ที่ 31 ที่ 33 ถึงที่ 40 ที่ 42 ถึงที่ 51 และที่ 53 ฟังขึ้น
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ที่สั่งไม่รับคำฟ้องโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 14 ที่ 15 ที่ 17 ที่ 18 ที่ 22 ที่ 25 ที่ 31 ที่ 33 ถึงที่ 40 ที่ 42 ถึงที่ 51 และที่ 53 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10 ต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งใหม่

Share