คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7072/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีหย่า ถ้าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว และการหย่าจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลง อีกฝ่ายหนึ่งจะขอให้ฝ่ายที่ต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้ได้ ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1526 วรรคหนึ่ง แต่แม้จะได้ความว่าการหย่าเกิดขึ้นเนื่องจากเป็นความผิดของฝ่ายจำเลยก็ตาม แต่ศาลจะกำหนดค่าเลี้ยงชีพให้ได้ ต่อเมื่อมีข้อเท็จจริงว่าอีกฝ่ายหนึ่งยากจนลงด้วย โจทก์มีอาชีพรับจ้างตัดต่อภาพทางคอมพิวเตอร์ มีรายได้ประมาณเดือนละ 5,000 บาท โจทก์เป็นบุตรคนเดียวของบิดามารดา บิดารับราชการแต่เกษียณอายุแล้ว มารดาเป็นแม่บ้าน เมื่อแยกทางกับจำเลยแล้วโจทก์ต้องกลับไปพักอาศัยกับบิดามารดา ต้องช่วยค่าใช้จ่ายในบ้านด้วย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าการหย่าเป็นเหตุให้โจทก์ยากจนลง แต่เมื่อปรากฏจากรายงานผลการกำกับการทดลองปกครองเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ ครั้งที่ 1 ของผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดภูเก็ต ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2557 โจทก์ไปอยู่กินฉันสามีภริยากับ อ. ซึ่งเป็นคู่ครองใหม่ของโจทก์แล้ว แม้จะไม่ปรากฏว่าเป็นการอยู่กินฉันสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นพฤติการณ์ที่ศาลสามารถนำมาพิจารณาประกอบการกำหนดค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ได้ ศาลฎีกาสมควรกำหนดให้จำเลยชำระค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2557 และเมื่อปรากฏว่าโจทก์อยู่กินกันกับคู่ครองคนใหม่ซึ่งมีบุตรชายที่มีอายุมากกว่าบุตรสาวจำเลย 1 คน เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และพักอาศัยอยู่ร่วมกันโดยโจทก์นำบุตรพักนอนอยู่ห้องเดียวกับสามีใหม่ เป็นการไม่เหมาะสม และอาจเกิดอันตรายแก่บุตรสาวของจำเลยได้ ทั้ง อ. เคยทำร้ายร่างกายจำเลยจนถูกศาลชั้นต้นพิจารณาลงโทษไปแล้ว และโจทก์ก็มีบุตรกับสามีใหม่แล้ว โจทก์ยังไม่ได้ประกอบอาชีพเพราะมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรใหม่ สำหรับผู้เยาว์ โจทก์พาไปฝากบิดามารดาของโจทก์เลี้ยงบ้าง ทั้งโจทก์ยังนำผู้เยาว์ซึ่งอายุ 7 ปีแล้ว ไปนอนรวมห้องเดียวกับสามีใหม่ แสดงว่าบ้านพักอาศัยคับแคบ และสามีใหม่ของโจทก์มีบุตรชายติดมาด้วย 1 คน แสดงว่ารายได้ของโจทก์และสถานที่พักอาศัยของโจทก์ไม่เอื้ออำนวยให้โจทก์อุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ให้ได้เหมาะสมตลอดจนปลอดภัยต่ออนาคตและสวัสดิภาพของผู้เยาว์ได้ จำเลยในฐานะบิดาย่อมเล็งเห็นสภาพข้อเท็จจริงที่โจทก์เลี้ยงดูผู้เยาว์รวมทั้งสภาพแวดล้อมและความประพฤติอุปนิสัยของบุคคลรอบข้างผู้เยาว์และหาหนทางป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เยาว์ได้ดี เพื่อสวัสดิภาพและอนาคตของผู้เยาว์ จึงเห็นสมควรให้ผู้เยาว์อยู่ในอำนาจปกครองของจำเลย เมื่อศาลฎีกากำหนดให้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจปกครองผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวแล้ว จำเลยย่อมต้องเป็นผู้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ตามกฎหมาย จำเลยจึงไม่ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์แก่โจทก์อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกัน ให้จำเลยแบ่งเงิน 450,000 บาท แก่โจทก์กึ่งหนึ่งเป็นเงิน 225,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปเป็นเวลา 10 ปี ให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ เดือนละ 7,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะจบการศึกษาระดับปริญญาตรี กับให้โจทก์แต่ผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้พิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกัน ให้จำเลยแต่ผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ กับให้โจทก์ร่วมรับผิดกึ่งหนึ่งในหนี้เงินกู้ 433,000 บาท เป็นเงิน 216,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย ให้จำเลยแบ่งสินสมรสคือเงิน 450,000 บาท แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ให้โจทก์ร่วมรับผิดกับจำเลยในหนี้เงินกู้ 433,000 บาท กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ 6,000 บาท ต่อเดือน นับแต่เดือนสิงหาคม 2556 เป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะ ให้โจทก์ทดลองปกครองเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลาหกเดือนนับแต่มีคำพิพากษา โดยให้ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดภูเก็ตเป็นผู้กำกับการทดลองปกครองเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์แล้วรายงานให้ศาลทราบทุกสามเดือน ระหว่างนี้ให้จำเลยมีสิทธิติดต่อเยี่ยมเยียนบุตรผู้เยาว์ได้ตามควรแก่พฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1584/1 ยกคำขอค่าเลี้ยงชีพ ยกฟ้องแย้งในเรื่องหย่า ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพ 3,000 บาทต่อเดือน แก่โจทก์นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 สิงหาคม 2556) เป็นต้นไปเป็นเวลา 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์เป็นภริยาของจำเลย จดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2551 อยู่กินฉันสามีภริยาที่บ้านพิพาท ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 92987 อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ 40.5 ตารางวา ซึ่งมีชื่อบิดาโจทก์และจำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน โจทก์จำเลยมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กหญิง ค. ต่อมาบิดาโจทก์และจำเลยขายที่ดินพร้อมบ้านไป เมื่อหักค่านายหน้าและหนี้แล้วเหลือเงิน 900,000 บาท จำเลยมอบเงินให้แก่บิดาโจทก์ 450,000 บาท ในปี 2555 จำเลยเลี้ยงดูอุปการะและยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา โจทก์จึงพาบุตรไปพักอาศัยที่อื่น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อแรกว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าเลี้ยงชีพจากจำเลยหรือไม่ เพียงใด ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526 บัญญัติว่า “..การหย่านั้นทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลง.. จะขอให้ฝ่ายที่ต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้ได้” เห็นว่า แม้จะได้ความว่าการหย่าเกิดขึ้นเนื่องจากเป็นความผิดฝ่ายจำเลยก็ตาม แต่ศาลจะกำหนดค่าเลี้ยงชีพให้ได้ ต่อเมื่อมีข้อเท็จจริงว่าอีกฝ่ายหนึ่งยากจนลงด้วย โจทก์เบิกความว่า โจทก์มีอาชีพรับจ้างตัดต่อภาพทางคอมพิวเตอร์ มีรายได้ประมาณเดือนละ 5,000 บาท โจทก์เป็นบุตรคนเดียวของบิดามารดา บิดารับราชการแต่เกษียณอายุแล้ว มารดาเป็นแม่บ้าน เมื่อแยกทางกับจำเลยแล้วโจทก์ต้องกลับไปพักอาศัยกับบิดามารดา ต้องช่วยค่าใช้จ่ายในบ้านด้วย จำเลยไม่โต้แย้ง ในชั้นฎีกาจำเลยอ้างว่า โจทก์มีสามีใหม่ และตั้งครรภ์กับสามีใหม่แล้ว ไม่โต้แย้งข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบจึงต้องถือว่าการหย่าเป็นเหตุให้โจทก์ยากจนลง อย่างไรก็ตามแม้ข้อเท็จจริงที่ว่า โจทก์มีคู่ครองคนใหม่แล้ว ไม่ปรากฏว่าโจทก์ยอมรับก็ตาม แต่ได้ความจากรายงานผลการกำกับการทดลองปกครองเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ ครั้งที่ 1 ของผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดภูเก็ต ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2557 โจทก์ไปอยู่กินฉันสามีภริยากับนาย อ. ซึ่งเป็นคู่ครองใหม่ของโจทก์แล้ว แม้ไม่ปรากฏว่าจะเป็นการอยู่กินฉันสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นพฤติการณ์ที่ศาลสามารถนำมาพิจารณาประกอบการกำหนดค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 กำหนดให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปเป็นเวลา 5 ปี นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ยังไม่เหมาะสม สมควรให้จำเลยชำระถึงเดือนมิถุนายน 2557 ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า สมควรให้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจปกครองผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงได้ความจากรายงานผลการกำกับการทดลองปกครองเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ ครั้งที่ 1 ของผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดภูเก็ต ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2557 และครั้งที่ 2 ลงวันที่ 16 มกราคม 2558 ว่า โจทก์อยู่กินกับคู่ครองคนใหม่ ซึ่งมีบุตรชายที่มีอายุมากกว่าบุตรสาวจำเลย 1 คน เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และพักอาศัยอยู่ร่วมกัน โดยโจทก์นำบุตรนอนอยู่ห้องเดียวกับสามีใหม่ เป็นการไม่เหมาะสมและอาจเกิดอันตรายแก่บุตรสาวของจำเลยได้ นอกจากนี้ นาย อ. คู่ครองใหม่ของโจทก์มีนิสัยเกเร เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2557 นาย อ. ทำร้ายร่างกายจำเลย ต่อมาพนักงานอัยการฟ้องนาย อ. นาย อ. ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนาย อ. ไปแล้ว ตามสำเนาคำฟ้องและสำเนาคำพิพากษาเอกสารแนบท้ายฎีกา เห็นว่า ในรายงานดังกล่าวมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโจทก์ว่า โจทก์มีสามีใหม่และมีบุตรกับสามีใหม่แล้ว โจทก์ยังไม่ได้ประกอบอาชีพเป็นเพราะมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรใหม่ สำหรับผู้เยาว์โจทก์พาไปฝากบิดามารดาของโจทก์เลี้ยงบ้าง ประกอบกับได้ความว่า โจทก์นำผู้เยาว์ซึ่งเป็นเด็กหญิงและมีอายุ 7 ปีแล้ว ไปนอนรวมห้องเดียวกับสามีใหม่ แสดงว่าบ้านพักอาศัยคับแคบ และสามีใหม่ของโจทก์มีบุตรชายติดมาด้วย 1 คน แสดงว่ารายได้ของโจทก์และสถานที่พักอาศัยของโจทก์ไม่เอื้ออำนวยให้โจทก์อุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ให้เหมาะสมตลอดจนปลอดภัยต่ออนาคตและสวัสดิภาพของผู้เยาว์ได้ จำเลยในฐานะบิดาย่อมเล็งเห็นสภาพข้อเท็จจริงที่โจทก์เลี้ยงดูผู้เยาว์รวมทั้งสภาพแวดล้อมและความประพฤติอุปนิสัยของบุคคลรอบข้างผู้เยาว์และหาหนทางป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เยาว์ได้ดี เพื่อสวัสดิภาพและอนาคตของผู้เยาว์ จึงเห็นสมควรให้ผู้เยาว์อยู่ในอำนาจปกครองของจำเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาที่จำเลยฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า ค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ที่กำหนดให้จำเลยชำระเดือนละ 6,000 บาท สูงเกินไปหรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลฎีกากำหนดให้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจปกครองผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวแล้ว จำเลยย่อมต้องเป็นผู้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ตามกฎหมาย จึงไม่ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์แก่โจทก์อีก
อนึ่ง ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมเพียงว่า ให้เป็นพับ โดยไม่ได้ระบุว่า หมายความรวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องเดิมและฟ้องแย้ง จึงไม่ชัดเจน ศาลฎีกาเห็นควรสั่งใหม่ให้ชัดเจน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจปกครองและเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ โดยให้ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดภูเก็ตเป็นผู้กำกับการปกครองเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์และรายงานให้ศาลทราบทุกสามเดือน ให้โจทก์มีสิทธิติดต่อเยี่ยมเยียนบุตรผู้เยาว์ได้ตามสมควรแก่พฤติการณ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1584/1 ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้อง ถึงเดือนมิถุนายน 2557 แก่โจทก์ ยกคำขอค่าอุปการะเลี้ยงดู นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งทั้งสามชั้นศาลให้เป็นพับ

Share