คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1 ขณะที่ขับรถกระบะมีจำเลยที่ 2 นั่งมาด้วย โดยยึดเมทแอมเฟตามีน 34,000 เม็ด ซึ่งวางอยู่ที่พื้นด้านหลังเบาะนั่งของจำเลยที่ 1 ขณะเข้าจับกุมเจ้าพนักงานตำรวจขับรถยนต์แล่นปิดหน้ารถและท้ายรถของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1พยายามขับรถเดินหน้าและถ้อยหลังจนชนกับรถยนต์ของเจ้าพนักงานตำรวจ พฤติการณ์ชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เข้าร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 ในการมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แม้ไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนเป็นเจ้าของเมทแอมเฟตามีน และจำเลยที่ 2 ให้การในชั้นสอบสวนว่าตนรับจ้างขนเมทแอมเฟตามีนของกลางจากคนลาวในจังหวัดมุกดาหารให้ไปส่งลูกค้าในจังหวัดปทุมธานี จะถือหลักเกณฑ์ในทางแพ่งว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลาง จำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนหรือร่วมครอบครองด้วยหาเป็นการถูกต้องไม่ เพราะความรับผิดในทางอาญาต้องอาศัยเจตนาเป็นสำคัญ เมื่อจำเลยที่ 1 เจตนาเข้าร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนใดของการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเมทแอมเฟตามีนของกลางก็ต้องถือว่าร่วมเป็นตัวการกับจำเลยที่ 2 ตาม ป.อ. มาตรา 83
ส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางของจำเลยที่ 3 ใช้ในการติดต่อกับสายลับและจำเลยที่ 2 ในการขนเมทแอมเฟตามีนของกลางมายังที่เกิดเหตุอันเป็นการร่วมกันกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ซึ่งได้ใช้ในการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ อันพึงต้องริบ ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 92 ริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่และรถกระบะของกลาง เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 หนึ่งในสาม และเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง ตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกจำเลยทั้งสี่ตลอดชีวิต และปรับคนละ 4,000,020 บาท เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 แต่เมื่อวางโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้วจึงไม่อาจเพิ่มโทษจำคุกได้อีก คงเพิ่มได้แต่โทษปรับเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต และปรับ 5,333,360 บาท เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 แต่เมื่อวางโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้วจึงไม่อาจเพิ่มโทษจำคุกได้อีก คงเพิ่มได้แต่โทษปรับ เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต และปรับ 6,000,030 บาท จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 25 ปี และปรับ 3,000,015 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับได้เกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ หมายเลข 08 5779 XXXX ของกลาง ให้คืนโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 08 0766 XXXX และรถกระบะทั้งสองคันของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ให้จำคุก 33 ปี 4 เดือน และปรับ 2,666,680 บาท เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 44 ปี 4 เดือน 40 วัน และปรับ 3,555,573.33 บาท ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 33 ปี 3 เดือน 30 วัน และปรับ 2,666,680 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ก่อนว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 กระทำความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ สำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งขับรถกระบะคันที่จำเลยที่ 2 นั่งมานั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่รู้จักจำเลยที่ 2 ที่มาขออาศัยนั่งรถจากจังหวัดมุกดาหารที่ตนจะขับรถไปซื้อผลไม้ที่ตลาดไท อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพียงแต่จำเลยที่ 3 ที่รู้จักกันฝากมา โดยจำเลยที่ 2 ออกเงินช่วยค่าน้ำมันดังที่เบิกความต่อสู้ แต่ทั้ง ๆ ที่ในช่วงเวลาเดียวกันจำเลยที่ 3 ก็ขับรถกระบะของตนเดินทางไปที่อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี อยู่แล้ว เหตุใดจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งรู้จักกันดี จึงไม่เดินทางไปด้วยกัน การเดินทางมาด้วยกันของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่อเป็นพิรุธว่าเรื่องที่จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 นั่งรถมาด้วยนั้นเป็นแต่ข้ออ้างในการอำพรางการกระทำที่แท้จริงของตน เมทแอมเฟตามีนของกลางมีถึง 17 ก้อน น้ำหนักรวม 3 กิโลกรัมเศษ อยู่ในถุงพลาสติก ตามคำเบิกความของดาบตำรวจนพดลกับดาบตำรวจวิโรจน์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมในคดีนี้ ปรากฏว่า ถุงพลาสติกนั้นเป็นถุงพลาสติกใสปนสีฟ้า สามารถมองผ่านเห็นสิ่งของภายในถุงได้ ถุงพลาสติกวางอยู่ที่พื้นรถด้านหลังเบาะที่จำเลยที่ 1 นั่งขับมาเมทแอมเฟตามีนในถุงพลาสติกที่มัดรวมกันเป็นก้อน ๆ สามารถมองเห็นได้ว่าสิ่งของในก้อนพลาสติกนั้นมีลักษณะเป็นเม็ด ๆ คล้ายเม็ดยา ดังที่พยานโจทก์ตรวจพบได้โดยง่ายยากที่จะเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เข้าใจว่าเป็นหมูยอกับแหนมตามที่จำเลยที่ 2 บอกในเวลาที่นำมาขึ้นรถ ตามคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 รู้ว่าเป็นเมทแอมเฟตามีน การที่ปรากฏตามคำเบิกความของพยานโจทก์ว่า หลังจากสายลับที่อยู่ด้วยกันกับดาบตำรวจนพดลได้รับแจ้งทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ว่ามาถึงแล้ว มีรถกระบะที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขับและนั่งมาได้แล่นเข้ามาจอดที่หน้ารถยนต์ของดาบตำรวจนพดล ซึ่งจอดรอที่ริมถนนพหลโยธินขาเข้า ฝั่งตรงกันข้ามนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ห่างกันประมาณ 5 เมตร ดาบตำรวจวิโรจน์กับพวกซึ่งอยู่ในรถยนต์อีกคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างหน้ารถยนต์ของดาบตำรวจนพดลหลังจากได้รับแจ้งจากดาบตำรวจนพดลได้ถอยรถมาปิดหน้ารถกระบะของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขณะเดียวกันรถยนต์ของดาบตำรวจนพดลก็แล่นเข้าปิดท้าย จำเลยที่ 1 พยายามขับรถเดินหน้าและถอยหลังจนชนกับรถยนต์ของพยานโจทก์ทั้งสองคัน แต่ไม่สามารถขับรถหนีไปได้ก่อนที่จะถูกจับกุมพร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลาง บ่งบอกว่าจำเลยที่ 1 รู้ดีว่ามีเมทแอมเฟตามีนของกลางวางอยู่ที่พื้นรถหลังเบาะนั่งของตน จึงมีความระแวดระวังสูงเมื่อมีรถมาปิดหน้าปิดท้ายเช่นนี้ย่อมไหวตัวว่าถูกล่อซื้อลวงมาในที่เกิดเหตุแล้ว จึงหาทางหลบหนี พฤติการณ์ดังวินิจฉัยมานี้ ชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เข้าร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 ในการมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแม้ไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนเป็นเจ้าของเมทแอมเฟตามีน และจำเลยที่ 2 ให้การในชั้นสอบสวนว่าตนรับจ้างขนเมทแอมเฟตามีนของกลางจากคนลาวในจังหวัดมุกดาหารให้ไปส่งลูกค้าในจังหวัดปทุมธานี จะถือหลักเกณฑ์ในทางแพ่งว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลาง จำเลยที่ 1ไม่มีส่วนหรือร่วมครอบครองด้วยดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์หาเป็นการถูกต้องไม่ เพราะความรับผิดในทางอาญาต้องอาศัยเจตนาเป็นสำคัญ เมื่อจำเลยที่ 1 เจตนาเข้าร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนใดของการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเมทแอมเฟตามีนของกลางก็ต้องถือว่าร่วมเป็นตัวการกับจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เพียงช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 ในขณะกระทำความผิด จึงคงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 นั้น เห็นว่า หลังจากจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนของกลางได้แล้ว หากมิใช่เป็นเพราะระหว่างตรวจค้นรถกระบะของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีการโทรศัพท์เข้ามาที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 2 ที่หมายเลข 08 5779 XXXX ดาบตำรวจนพดลให้จำเลยที่ 2 รับสายและเปิดลำโพงมีเสียงสอบถามว่าส่งเมทแอมเฟตามีนเสร็จหรือยัง หลังจากดาบตำรวจนพดลกดปุ่มวางหูโทรศัพท์และสอบถามแล้ว จำเลยที่ 2 แจ้งว่าเป็นผู้ร่วมนำเมทแอมเฟตามีนมาด้วยกันซึ่งจอดรถรออยู่ข้างหน้า ก็ยากที่พยานโจทก์จะทราบว่ายังมีผู้เกี่ยวข้องอยู่ในรถยนต์คันอื่นในบริเวณนั้นอีกด้วย เพราะบริเวณที่เกิดเหตุเป็นริมถนนพหลโยธินขาเข้าฝั่งตรงกันข้ามกับนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ซึ่งเป็นย่านชุมชนมีผู้คนพลุกพล่านดังคำเบิกความของดาบตำรวจวิโรจน์ที่ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 4 และจากการบอกตำแหน่งของจำเลยที่ 2 นำไปสู่การพบรถกระบะที่จำเลยที่ 4 และที่ 3 ขับและนั่งมาจอดอยู่ริมถนนข้างหน้าเลยไปประมาณ 100 เมตร ยากจะเป็นไปว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 มาในที่เกิดเหตุพอดีตามที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือเนื่องจากรถเกิดการเฉี่ยวชนกันดังที่อ้างมาเป็นข้อต่อสู้ หลังจากมีการบังคับให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ลงจากรถ ดาบตำรวจนพดลพบจำเลยที่ 3 มีโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ในมือ จึงตรวจสอบการใช้โทรศัพท์โดยใช้โทรศัพท์ของจำเลยที่ 3 โทรศัพท์ไปที่หมายเลขโทรศัพท์ของดาบตำรวจนพดลเอง ปรากฏหมายเลข 08 0766 XXXX ดังคำเบิกความของดาบตำรวจวิโรจน์ ซึ่งเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อกับสายลับและจำเลยที่ 2 แม้โจทก์ไม่มีหลักฐานการใช้โทรศัพท์ติดต่อระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับระหว่างสายลับและจำเลยที่ 3 มาแสดงดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ก็ตาม เพราะหากไม่มีการใช้โทรศัพท์ล่อซื้อของสายลับก็ยากที่รถกระบะของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มาจอดที่ริมถนนพหลโยธินขาเข้า ฝั่งตรงกันข้ามนิคมอุตสาหกรรมนวนคร หน้ารถยนต์ของดาบตำรวจนพดลกับพวกซึ่งมีสายลับอยู่ด้วย จนนำไปสู่การจับกุมและยึดเมทแอมเฟตามีนที่ล่อซื้อเป็นของกลางได้ และหากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีการใช้โทรศัพท์ติดต่อกันเป็นระยะ ๆ ก็ยากที่จำเลยที่ 2 ซึ่งนั่งอยู่ในรถกระบะคันที่จำเลยที่ 1 ขับและมาจอดตรงตำแหน่งที่นัดหมายกับสายลับจะรู้ถึงตำแหน่งของรถกระบะของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ว่าจอดรถอยู่ข้างหน้าได้ คำเบิกความของดาบตำรวจนภดลกับดาบตำรวจวิโรจน์เพียงลำพังก็มีน้ำหนักน่าเชื่อถือรับฟังได้แล้ว พยานหลักฐานโจทก์มั่นคงฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 เข้าร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในการมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 แล้วพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางหมายเลข 08 0766 XXXX ของจำเลยที่ 3 นั้น เมื่อได้ความดังวินิจฉัยมาข้างต้นแล้วว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางของจำเลยที่ 3 ใช้ในการติดต่อกับสายลับและจำเลยที่ 2 ในการขนเมทแอมเฟตามีนของกลางมายังที่เกิดเหตุอันเป็นการร่วมกันกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ซึ่งได้ใช้ในการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ อันพึงต้องริบ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102 เช่นเดียวกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่สั่งริบไว้แล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น กับริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางหมายเลข 08 0766 XXXX นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share