แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาจำเลยที่ 2 เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งไม่รับฎีกาจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 128) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 4,13 ทวิ วรรคหนึ่ง,89,116 พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535มาตรา 9,13 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 51 (พ.ศ. 2531) เรื่อง ระบุชื่อและจัดแบ่งประเภทวัตถุออกฤทธิ์ ตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ลงวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2531 ข้อ 3(7) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 6 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี ริบของกลางที่เหลือตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 124) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 126)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาโต้แย้ง ดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ชอบแล้วให้ยกคำร้องของ จำเลยที่ 2