แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่าพิเคราะห์แล้วไม่มีเหตุผลอันสมควร ที่จะฎีกา ให้ยกคำร้องและให้จำเลยนำค่าฤชาธรรมเนียมมาชำระ ภายใน 7 วัน แล้วจะพิจารณาสั่งฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับ จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งฉบับลงวันที่ 11 สิงหาคม 2537 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีเป็นเรื่องที่ต้องอุทธรณ์คำสั่งต่อ ศาลฎีกา แต่ตามคำร้องจำเลยอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์ เมื่อกรณีไม่มีเหตุที่จะต้องส่งคำร้องไปยังศาลอุทธรณ์ จึงให้รวมสำนวนไว้
จำเลยเห็นว่า จำเลยมีเจตนาที่จะยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ฉบับวันที่ 11 สิงหาคม 2537 ต่อศาลฎีกา แต่เจ้าหน้าที่ ได้พิมพ์ผิดพลาดด้วยความพลั้งเผลอจากคำว่า “ศาลฎีกา”เป็น “ศาลอุทธรณ์” และจำเลยไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระ ค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาเพราะจำเลยได้โอนทรัพย์มรดกของนายวันชัยกนกวัฒนกิจ เจ้าของมรดก ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ของนายวันชัยจนหมดสิ้นแล้ว โปรดมีคำสั่งกลับคำสั่ง ศาลชั้นต้นและให้จำเลยฎีกาอย่างคนอนาถาได้
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดก ของนายวันชัยกนกวัฒนกิจ ชำระเงินจำนวน 500,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในจำนวนเงิน 100,000 บาท ตามเช็คเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 นับแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2533เป็นต้นไป และในจำนวนเงิน 400,000 บาท ตามเช็คเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 นับแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2533เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ดอกเบี้ยนับจากวันที่ธนาคาร ปฏิเสธการจ่ายเงินจนกระทั่งถึงวันฟ้องจะต้องไม่เกิน 8,871 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2537 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องดังกล่าว โดยให้จำเลยมาทราบคำสั่งในวันที่ 8 สิงหาคม 2537ถ้าไม่มา ให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาอย่างคนอนาถาฉบับลงวันที่ 11 สิงหาคม 2537 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมสำนวนดังกล่าว(อันดับ 100,98,92)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณา (อันดับ 101)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์และจำเลยนำสืบโต้แย้งกันในเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดก ของนายวันชัยกนกวัฒนกิจ ให้รับผิดใช้เงินตามเช็คที่นายวันชัยนำมาแลกเงินสดจากโจทก์ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์และพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ เมื่อคดีของจำเลยไม่ต้องห้ามฎีกาก็ไม่อาจถือว่าคดีไม่มีมูล ที่จำเลยจะฎีกาดังที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง จึงให้ศาลชั้นต้น ทำการพิจารณาคำร้องที่จำเลยขอให้พิจารณาคำขอฟ้องคดีอย่าง คนอนาถานั้นใหม่ แล้วมีคำสั่งต่อไปตามรูปคดี