คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4065/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ขอแบ่งเงินเดือนเนื่องจากโจทก์ไม่ส่งเงินค่าเลี้ยงดูบุตรให้จำเลยบ้าง การกระทำดังกล่าวก็เพื่อคุ้มครองสิทธิที่จำเลยคิดว่าควรจะได้ จึงไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ โจทก์เป็นฝ่ายไม่ไปมาหาสู่จำเลยตามหน้าที่สามีที่ดีเป็นเวลานานหลายปี ทั้งยังได้หญิงอื่นเป็นภริยาจนมีบุตรด้วยกัน จำเลยเองกลับเป็นฝ่ายไปหาโจทก์บ่อย ๆจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายทิ้งร้างโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันมีบุตรด้วยกัน 3 คน ต่อมาจำเลยไม่ประสงค์จะให้โจทก์ส่งเสียเลี้ยงดูมารดาโจทก์และหาเรื่องฟ้องโจทก์ต่อผู้บังคับบัญชาจำเลยจงใจทิ้งร้างโจทก์ไปเกินกว่า 1 ปี ขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ประพฤติเสื่อมเสียตามโจทก์อ้าง โจทก์ออกจากบ้านที่อยู่อาศัยกับจำเลยไปปฏิบัติราชการที่ภาคใต้ และไปอยู่กินกับหญิงอื่นมีบุตรด้วยกัน1 คน โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยเพื่อจะจดทะเบียนสมรสกับภริยาใหม่ของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภริยากับโจทก์อย่างร้ายแรง และจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกิน1 ปี หรือไม่ โจทก์เบิกความว่า จำเลยมีปฏิกิริยาที่โจทก์ส่งเงินให้แก่มารดาโจทก์ ได้พูดจาว่ากันต่าง ๆ นานา ขณะที่โจทก์ไปเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โจทก์เอาบุตรคนโตไปอยู่กับมารดาโจทก์และให้จำเลยส่งเงินไปให้มารดาโจทก์ เมื่อกลับมาก็ทราบว่าจำเลยส่งเงินให้มารดาโจทก์บ้างบางครั้ง หลังจากนั้นโจทก์ไม่ไว้ใจเรื่องการเงินจึงจัดการเองจำเลยไม่พอใจและพูดว่าโจทก์เสียหายต่าง ๆ นานา และโจทก์กับจำเลยก็ทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่อยมาแต่ยังคงอยู่กินฉันสามีภริยา ต่อมาช่วงเวลาที่โจทก์อยู่ที่จังหวัดลพบุรีวันเสาร์อาทิตย์โจทก์กลับจากจังหวัดลพบุรี โจทก์ไม่เข้าบ้านเพราะมักทะเลาะกัน จึงไปอยู่กับเพื่อน โจทก์จำเลยเคยพูดเรื่องที่จะแยกทางกันและตกลงกันว่าโจทก์จะเลี้ยงบุตรชาย 2 คน จำเลยจะเลี้ยงบุตรสาวแล้วจะไปจดทะเบียนหย่า พูดกันประมาณกลางเดือนธันวาคม 2512 แต่จำเลยกลับคำไม่ยอมไปจดทะเบียนหย่า โจทก์จึงกลับไปทำงานที่จังหวัดลพบุรี ตั้งแต่วันนั้นโจทก์กับจำเลยก็ไม่มีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยา ต่อมาปี พ.ศ. 2523 จำเลยไปร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ขอแบ่งเงินเดือนครึ่งหนึ่งผู้บังคับบัญชาเรียกโจทก์จำเลยมาพูดจากัน และพูดว่าเงินเดือนแบ่งไม่ได้ขอให้ฟ้องต่อศาลขณะอยู่ที่จังหวัดลพบุรีจำเลยไม่เคยไปมาหาสู่โจทก์เลย บ้านที่จำเลยให้การว่าอยู่จังหวัดกาญจนบุรีนั้น โจทก์ไม่เคยอยู่ เป็นบ้านของทางราชการมอบให้โจทก์ดูแล โจทก์ไม่เคยมาหาจำเลยและไม่ทราบว่าจำเลยจะไปอยู่ที่ใด โจทก์รู้จักนางสาววรรณา มีความสัมพันธ์สนิทสนมกันลึกซึ้ง และโจทก์รับรองบุตรของนางสาววรรณาเป็นบุตรโจทก์และอนุญาตให้ใช้นามสกุลโจทก์ได้ เห็นว่า ตามคำเบิกความของโจทก์ไม่ปรากฏว่า จำเลยกระทำการอย่างใดที่จะถือว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง การที่จำเลยร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ขอแบ่งเงินเดือนก็คงเป็นเพราะโจทก์ไม่ส่งเงินค่าเลี้ยงดูบุตรให้จำเลย การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อคุ้มครองสิทธิที่จำเลยคิดว่าจำเลยควรได้ไม่ถือว่าการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ โจทก์เองกลับเป็นฝ่ายไม่ไปมาหาสู่จำเลยตามหน้าที่สามีที่ดีเป็นเวลานานหลายปีทั้งยังได้หญิงอื่นเป็นภริยาจนมีบุตรด้วยกันอีกด้วย ส่วนจำเลยก็มีนางสาวสิรินพร สอนไวสาตร์บุตรสาวของโจทก์จำเลยเบิกความว่า ขณะที่บิดารับราชการอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี พยานเคยไปเยี่ยมบิดาประมาณเดือนละ 2 ครั้ง โดยไปกับมารดา ก็แสดงว่า จำเลยเป็นฝ่ายไปหาโจทก์บ่อย ๆ จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายทิ้งร้างโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องหย่าจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share