คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1993/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ทรัพย์ที่ถูกยึดเสียหายและอยู่ระหว่างไต่สวนความเสียหายนั้น ไม่ใช่เหตุตามกฎหมายที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะงดการบังคับคดีโดยงดการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวได้ ทั้งไม่ใช่เหตุสมควรที่ศาลจะสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ ในการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหน้าที่ต้องดำเนินการไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 308,309 อยู่แล้วไม่จำเป็นที่ศาลจะต้องไปกำหนดราคาขายขั้นต่ำไว้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินให้โจทก์จำนวนเงิน 3,986,575.12บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมทราบคำบังคับแล้วไม่ปฏิบัติตาม โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 7469 ตำบลชมภู อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ 1 งาน 72 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์
ระหว่างประกาศขายทอดตลาด จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนถึงความเสียหายของทรัพย์ที่ถูกยึดซึ่งเกิดขึ้นเพราะการกระทำของโจทก์ และขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ก่อน กับกำหนดราคาขั้นต่ำในการขายทอดตลาด 7,500,000 บาทศาลชั้นต้นรับคำร้องแล้วนัดไต่สวนคำร้องของจำเลยทั้งสองและจำเลยร่วม ก่อนศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้อง จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นรอคดีไว้ก่อน และให้เรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาในคดีแทนจำเลยร่วม เพราะจำเลยร่วมถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงว่า ทรัพย์ตามคำร้องที่จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมขอให้ไต่สวนว่าเกิดความเสียหายขึ้นเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ 1 จำเลยร่วมไม่มีส่วนเป็นเจ้าของด้วย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ขอเข้าว่าคดีแทนจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นจึงให้นัดไต่สวนคำร้องต่อไป ถึงวันนัดจำเลยที่ 1 ไม่มีพยานมาศาลและขอเลื่อนคดี โจทก์แถลงคัดค้านว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาประวิงคดี ขอให้ศาลมีคำสั่งขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไป ส่วนค่าเสียหายของทรัพย์ที่ถูกยึด ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้ไปประเมินราคา ซึ่งโจทก์จะยอมชดใช้ค่าเสียหายตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมิน
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาประวิงคดีจึงมีคำสั่งให้งดการไต่สวนพยานจำเลยที่ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้ประเมินค่าเสียหายของทรัพย์ที่ถูกยึดและประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไป
จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำร้องลงวันที่ 29 มีนาคม 2531 และตามฎีกาของจำเลยทั้งสองที่อ้างว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเสียหาย ขอให้รอการขายทอดตลาดไว้ก่อนเพื่อไต่สวนความเสียหายนั้น ไม่ใช่เหตุตามกฎหมายที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะงดการบังคับคดีได้ และไม่มีเหตุสมควรที่ศาลจะสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยร่วมซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ศาลชั้นต้นควรเลื่อนการไต่สวนเกี่ยวกับความเสียหายของทรัพย์ที่ถูกยึดไปจนกว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะเข้ามาสู้คดีแทนจำเลยร่วม และจนกว่าจำเลยที่ 1 จะตั้งหุ้นส่วนผู้จัดการคนใหม่แทนจำเลยร่วมนั้น เห็นว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากจำเลยร่วม การที่จำเลยร่วมถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1แต่อย่างใด ทั้งจำเลยที่ 1 มีทนายความสามารถดำเนินคดีแทนได้อยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุต้องเลื่อนการไต่สวน เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่นำพยานมาให้ไต่สวนตามนัด การที่ศาลชั้นต้นให้งดการไต่สวนแล้วมีคำสั่งไปตามที่เห็นสมควรจึงชอบแล้วและที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้กำหนดราคาขายขั้นต่ำ โดยให้ศาลชั้นต้นไต่สวนในส่วนนี้แล้วรายงานศาลฎีกานั้น เห็นว่า การขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหน้าที่ต้องดำเนินการไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 308 และมาตรา 309 อยู่แล้วไม่จำเป็นที่ศาลจะต้องไปกำหนดราคาขายขั้นต่ำไว้
พิพากษายืน

Share