คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การไม่ลงข้อความสำคัญในเอกสารของบริษัทอันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42นั้น จะต้องกระทำเพื่อลวงให้บริษัทหรือผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ เมื่อข้อเท็จจริงที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาไม่ปรากฏรายละเอียดชัดแจ้งว่า การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสมุห์บัญชีของธนาคารโจทก์ร่วมรายงานรายละเอียดบัญชีของลูกค้าโดยไม่ลงข้อความสำคัญที่ธนาคารโจทก์ร่วมได้มีคำสั่งบังคับไว้นั้น จำเลยที่ 2 มีเจตนาพิเศษเพื่อลวงให้ธนาคารโจทก์ร่วมขาดประโยชน์อันควรได้อย่างไร การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการธนาคารสหธนาคาร จำกัดสาขากระนวน จำเลยที่ 2 เป็นสมุห์บัญชีของผู้เสียหาย สาขากระนวนมีหน้าที่ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการดูแลจัดการทรัพย์สินของผู้เสียหายจำเลยทั้งสองได้เปลี่ยนแปลงตัดทอนไม่ลงรายการรายงานว่า บัญชีเลขที่ 36 ของนายวิชัยได้เบิกเงินเกินบัญชีไปจำนวนมาก ซึ่งเป็นข้อความสำคัญเพื่อลวงให้ผู้เสียหายเข้าใจว่า บัญชีเลขที่ดังกล่าวมิได้มีการเบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ทำให้ผู้เสียหายมิได้สงสัยหรือติดใจลูกค้ารายนี้ต้องขาดประโยชน์อันควรได้ได้รับความเสียหายไม่อาจรับเงินที่นายวิชัยเบิกเงินเกินบัญชีไปคืนมา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 352, 353,354 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 41, 42 ให้คืนหรือชดใช้เงิน 13,211,903.14บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ธนาคารสหธนาคาร จำกัด ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 353, 354 ให้จำคุก 3 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติ กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. 2499มาตรา 42 จำคุก 2 ปี ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 13,211,903.14 บาทแก่โจทก์ร่วม คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัดสมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2เป็นสมุห์บัญชีของโจทก์ร่วมสาขากระนวนทำหน้าที่รายงานรายละเอียดบัญชีของลูกค้าตามแบบแนบท้ายคำสั่งที่ 42/2511 มาแต่ต้น ตามหลักฐานเอกสารหมาย จ.16 ถึง จ.18 ย่อมแสดงว่า จำเลยที่ 2ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารโจทก์ร่วมสาขากระนวนให้ทำหน้าที่ดังกล่าวย่อมถือได้ว่า จำเลยที่ 2เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทโจทก์ร่วมด้วย เพราะการรายงานรายละเอียดบัญชีของลูกค้าตามแบบแนบท้ายคำสั่งของโจทก์ร่วมที่ 42/2511 ดังกล่าวเป็นงานส่วนหนึ่งที่ธนาคารสาขาจะต้องทำหรือดำเนินการ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 มิได้เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทโจทก์ร่วมหากแต่เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น แต่เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้รายงานรายละเอียดตามเอกสารหมาย ปจ.112 แผ่นที่ 1 ถึงที่ 4 และ ปจ.113 แผ่นที่ 1ถึงที่ 4 หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยอีก พิเคราะห์แล้วเห็นว่า…จึงมีเหตุเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้รายงานรายละเอียดบัญชีของลูกค้าตามเอกสารหมาย ปจ.112 แผ่นที่ 1 ถึงที่ 4 และ ปจ.113แผ่นที่ 1 ถึงที่ 4 หาใช่มีผู้อื่นกลั่นแกล้งสับเปลี่ยนเอกสารเข้ามาใหม่ตามที่จำเลยที่ 2 กล่าวอ้างไม่ แต่การไม่ลงข้อความสำคัญในเอกสารของบริษัทนั้นจะต้องกระทำเพื่อลวงให้บริษัทหรือผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้จึงจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัดบริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 ข้อเท็จจริงที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบและที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาไม่ปรากฏรายละเอียดชัดแจ้งว่า การที่จำเลยที่ 2 รายงานรายละเอียดบัญชีของลูกค้าตามเอกสารหมาย ปจ.112 และ ปจ.113 โดยไม่ลงข้อความเกี่ยวกับบัญชีเลขที่ 36 ของนายวิชัยอันเป็นข้อความสำคัญที่โจทก์ร่วมมีคำสั่งที่ 42/2511 บังคับไว้นั้น จำเลยที่ 2มีเจตนาพิเศษเพื่อลวงให้บริษัทโจทก์ร่วมขาดประโยชน์อันควรได้อย่างไร กล่าวคือทำให้บริษัทหลงผิดบังคับนายวิชัยชำระหนี้ขาดไปเพราะเหตุที่จำเลยที่ 2 ไม่ลงรายการรายละเอียดบัญชีเลขที่ 36 ของนายวิชัยในเอกสารหมาย ปจ.112 และ ปจ.113 อย่างไรโจทก์ร่วมมีเช็คที่นายวิชัยสั่งจ่ายเงินจากบัญชีเลขที่ 36บัญชีกระแสรายวัน สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นหลักฐานในการฟ้องบังคับคดีต่อนายวิชัยอยู่แล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปเพื่อลวงบริษัทโจทก์ร่วมขาดประโยชน์อันควรได้การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัดบริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share