แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมตุลาการ
ย่อสั้น
การอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล(คชก.ตำบล) จะต้องยื่นอุทธรณ์โดยทำเป็นหนังสือต่อประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลในกำหนดสามสิบวัน นับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัย แต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่คณะกรรมการฯ ได้มีคำวินิจฉัย เมื่อประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลไม่ได้รับหนังสืออุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล ต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัด (คชก.จังหวัด) คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลจึงเป็นที่สุด เมื่อจำเลยที่ 2 ผู้ซื้อที่นาพิพาทจากจำเลยที่ 1 ไม่ยอมขายนาพิพาทให้โจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งอันเป็นที่สุดของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้ ตาม พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 58 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขายนาให้จำเลยที่ 2โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ผู้เช่าทราบ ขอให้พิพากษาว่า การซื้อขายที่ดินของจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมาย และบังคับให้จำเลยที่ 2 โอนขายที่ดินให้โจทก์ทั้งแปลงในราคา 45,000 บาท มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ให้การว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลยังไม่เป็นที่สุด เนื่องจากจำเลยที่ 1ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ในราคา 45,000 บาท ถ้าจำเลยที่ 2 ไม่ไปจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์เป็นผู้เช่านาพิพาทจากจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 45,000 บาท โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบโจทก์ร้องขอใช้สิทธิซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยที่ 2ต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลสามบัณฑิตอำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีนายประคอง หามนตรีกำนันตำบลสามบัณฑิตเป็นประธาน และนายอัมพร พรหมหิตาทรปลัดอำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลสามบัณฑิตมีมติให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทคืนได้ แต่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมขายให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ยื่นอุทธรณ์มติคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลสามบัณฑิต โดยจำเลยที่ 1 ยื่นหนังสือดังกล่าวต่อนายอำเภออุทัย ประธาน คชก. ตำบลสามบัณฑิต(ผ่านนายอำเภออุทัย) หนังสือลงวันที่ 9 สิงหาคม 2531 ตามเอกสารหมายล.3 นายอัมพรได้รับหนังสือของจำเลยที่ 1 ตามบันทึกรับหนังสือของที่ว่าการอำเภออุทัย ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2531 เอกสารหมายล.4 และทะเบียนหนังสือรับเอกสารหมาย ล.5 มีปัญหาวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า เมื่อเจ้าหน้าที่อำเภออุทัยรับหนังสืออุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลสามบัณฑิตของจำเลยที่ 1 โดยออกหมายเลขทะเบียนรับหนังสือเป็นหมายเลข 1980 ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2531 แล้ว ถือได้ว่านายอำเภออุทัยผู้มีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลสามบัณฑิตได้รับหนังสืออุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 แล้วและย่อมถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยดังกล่าวต่อประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลสามบัณฑิตด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 56 บัญญัติว่า “ผู้เช่านาผู้เช่าช่วงนา หรือผู้ให้เช่านาที่เป็นคู่กรณี หรือผู้มีส่วนได้เสียในการเช่านาอาจอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลต่อ คชก. จังหวัดได้โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อประธาน คชก. ตำบล ภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบล แต่ต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่ คชก. ตำบลได้มีคำวินิจฉัย
คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ที่มิได้อุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด” ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลสามบัณฑิตต่อนายอำเภออุทัยและประธาน คชก.ตำบลสามบัณฑิต (ผ่านนายอำเภออุทัย)โดยนายอัมพรซึ่งเป็นกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลสามบัณฑิตเป็นผู้รับหนังสือดังกล่าวก็ตาม เมื่อปรากฏว่านายประคองประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลสามบัณฑิตไม่ได้รับหนังสืออุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ยื่นอุทธรณ์ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลสามบัณฑิตต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลดังกล่าว จึงเป็นที่สุด เมื่อจำเลยที่ 2ไม่ยอมขายนาพิพาทให้โจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งอันเป็นที่สุดของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 58 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน