แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อโจทก์มิได้ใช้อำนาจปกครองเกี่ยวแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบหรือประพฤติชั่วร้ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1582เพียงแต่ไม่สามารถปกครองดูแลผู้เยาว์ให้ได้รับความผาสุกอันอาจเป็นเหตุให้สุขภาพจิตของผู้เยาว์เสื่อมลงเท่านั้น กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะถอนอำนาจปกครองของโจทก์ได้ แต่เมื่อผู้เยาว์มีความผูกพันกับจำเลยมากกว่าโจทก์ การที่ผู้เยาว์อยู่กับจำเลยจะมีผลดีต่อสุขภาพจิตของผู้เยาว์ จำเลยประกอบอาชีพมั่นคงพอที่จะเลี้ยงดูผู้เยาว์ได้ ทั้งมีตาและยายของผู้เยาว์คอยจุนเจือช่วยเหลือสามารถดูแลผู้เยาว์ได้ใกล้ชิด ประกอบกับผู้เยาว์ซึ่งมีอายุ 8 ปีแล้วประสงค์จะอยู่กับจำเลยด้วย เพื่อให้เป็นไปตามความสมัครใจของผู้เยาว์จึงสมควรให้จำเลยซึ่งเป็นมารดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ฝ่ายเดียวตามบทบัญญัติ มาตรา 1566(5) แห่ง ป.พ.พ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสกันมีบุตรด้วยกัน 1 คนคือเด็กชาย อ. เมื่อโจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่ากันมีข้อตกลงว่าให้ผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของโจทก์ ต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงว่า ให้ผู้เยาว์อยู่ในปกครองของโจทก์ โจทก์ยอมให้จำเลยไปเยี่ยมผู้เยาว์ที่โรงเรียนได้และอนุญาตให้รับผู้เยาว์ไปดูแลเป็นเวลา 2 เดือน ต่อ 1 ครั้ง ทุกเย็นวันศุกร์ และต้องนำมาส่งในวันอาทิตย์ไม่เกิน 18 นาฬิกา หากจำเลยผิดข้อตกลงโจทก์ขอตัดสิทธิในการรับผู้เยาว์ต่อไป ต่อมาจำเลยได้ไปรับผู้เยาว์ไปจากความปกครองของโจทก์แล้วไม่ยอมพามาส่งคืนให้โจทก์ตามกำหนด โจทก์ไปติดต่อขอรับผู้เยาว์คืน แต่จำเลยไม่ยินยอมคืนให้ ขอให้จำเลยส่งผู้เยาว์คืนมาอยู่ในความปกครองของโจทก์ โดยจำเลยไม่มีสิทธิรับไปดูแลอีกต่อไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้รับผู้เยาว์ไปและจะต้องพาไปส่งคืนแก่โจทก์ ผู้เยาว์ร้องให้ไม่ยอมกลับและแสดงอาการหวาดกลัวรุนแรงจนไม่อาจหักใจบังคับผู้เยาว์ให้กลับไปอยู่ในความปกครองของโจทก์ต่อไป โจทก์มิได้เอาใจใส่ดูแลผู้เยาว์ ผู้เยาว์ต้องอยู่ตามลำพังกับคนใช้ ผู้เยาว์อยู่กับโจทก์ด้วยความว้าเหว่และขาดความอบอุ่น แต่เมื่ออยู่กับจำเลย ผู้เยาว์มีความสุขสนุกสนานเพราะจำเลยรักและให้ความอบอุ่นแก่ผู้เยาว์อย่างเต็มที่ จำเลยได้นำผู้เยาว์เข้าเรียนที่โรงเรียนซึ่งจำเลยเป็นครูอยู่ ขอให้ยกฟ้องและถอนความเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์ของโจทก์และมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่สนใจใยดีผู้เยาว์ ผู้เยาว์ได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวโจทก์ตลอดมา ตรงกันข้ามทุกครั้งที่จำเลยส่งตัวผู้เยาว์คืนโจทก์ ผู้เยาว์จะมีอาการท้องเสียและป่วยบ่อยครั้ง จำเลยเอาแต่ใจตัวเองและมีอารมณ์ร้ายมิได้รักผู้เยาว์อย่างแท้จริงและมักใช้กำลังทุบตีผู้เยาว์ โจทก์ดูแลผู้เยาว์อย่างใกล้ชิดข้อตกลงเกี่ยวกับการพบผู้เยาว์และรับผู้เยาว์ไปดูแลชั่วคราวไม่ผูกพันโจทก์จำเลยตามกฎหมาย แต่จำเลยประพฤติผิดข้อตกลงด้วยการไม่ยอมส่งผู้เยาว์คืนโดยอ้างเหตุที่ไม่มีมูลความจริงจำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางพิพากษายกฟ้อง และให้ถอนอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ของโจทก์ และตั้งให้จำเลยเป็นผู้ปกครองเด็กชายอิทธิฤทธิ์บุตรผู้เยาว์โดยมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายแต่ให้โจทก์มีสิทธิมาเยี่ยมผู้เยาว์ที่โรงเรียนได้ตลอดเวลา และให้มารับผู้เยาว์ไปดูแลได้เดือนละ 1 ครั้ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์หรือจำเลยสมควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา โจทก์จำเลยต่างโต้เถียงกันว่า หากตนเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์แล้วผู้เยาว์จะมีความผาสุกได้รับความอบอุ่น มีสุขภาพจิตดีโดยจำเลยและนางพูนทรัพย์พยานจำเลยซึ่งเป็นมารดาของจำเลย เบิกความยืนยันว่า เหตุที่จำเลยตกลงให้ผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของโจทก์ตามบันทึกท้ายทะเบียนหย่า เพราะขณะนั้นจำเลยไม่ได้ประกอบอาชีพอะไรและจำเลยก็ต้องกลับมาอยู่ที่บ้านของนางพูนทรัพย์ จำเลยเกรงว่าผู้เยาว์จะได้รับความลำบากจึงให้ผู้เยาว์อยู่กับโจทก์ ต่อมาเมื่อจำเลยไปขอรับผู้เยาว์ที่บ้านโจทก์ โจทก์และภริยาใหม่ไม่ยอมให้จำเลยพบผู้เยาว์ จำเลยจึงไปร้องเรียนที่สำนักงานคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ประชาชน สำนักงานอัยการสูงสุด (ส.ค.ช.)ในที่สุดโจทก์และจำเลยได้ตกลงกันใหม่ โดยให้ผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของโจทก์ตามเดิม แต่ให้จำเลยเยี่ยมและขอพบผู้เยาว์ได้ที่โรงเรียนและให้จำเลยรับผู้เยาว์ไปดูแลได้มีกำหนด 2 เดือนต่อ 1 ครั้งโดยรับไปในวันศุกร์และนำกลับไปส่งโจทก์ในวันอาทิตย์ไม่เกินเวลา18 นาฬิกา รายละเอียดปรากฏตามบันทึกเอกสารหมาย จ.5 จำเลยได้ไปรับผู้เยาว์ตามข้อตกลงดังกล่าว ปรากฏว่าเมื่อจำเลยจะนำผู้เยาว์ไปส่งให้โจทก์ ผู้เยาว์จะร้องไห้ไม่ยอมไปอยู่กับโจทก์เป็นประจำ ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2523 จำเลยไปรับผู้เยาว์ที่บ้านโจทก์ จากนั้นวันที่ 18 เดือนเดียวกัน จำเลยจะนำผู้เยาว์ไปส่งโจทก์ แต่ผู้เยาว์ไม่ยอมและร้องไห้บอกว่าจะอยู่กับจำเลยไม่ประสงค์อยู่กับโจทก์ จำเลยจึงไม่นำผู้เยาว์ไปส่งโจทก์เพราะจะเป็นการทรมานจิตใจของผู้เยาว์ จำเลยสามารถเลี้ยงดูผู้เยาว์ได้อย่างดี เพราะปัจจุบันจำเลยทำงานเป็นครูโรงเรียนอนุบาลธรรมภิรักษ์ ธนบุรี ได้รับเงินเดือน เดือนละ 3,000 บาทตามเอกสารหมาย ล.1 และยังมีรายได้จากการสอนพิเศษอีกเดือนละ4,000 บาทเศษ ผู้เยาว์ก็เรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนอนุบาลธรรมภิรักษ์ ธนบุรี ที่จำเลยสอนอยู่ ตามเอกสารหมาย ล.3ในระหว่างที่ผู้เยาว์อยู่กับโจทก์นั้น โจทก์ไม่เคยอยู่กับผู้เยาว์ปล่อยให้ผู้เยาว์อยู่กับคนใช้ บิดามารดาของโจทก์ก็ต่างประกอบอาชีพไม่ได้อยู่บ้านดูแลผู้เยาว์ แต่บิดามารดาของจำเลยไม่ได้ประกอบอาชีพอะไรและอยู่บ้านช่วยดูแลผู้เยาว์ด้วย ซึ่งข้อเท็จจริงที่จำเลยและนางพูนทรัพย์เบิกความมาดังกล่าว ก็ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์และนางพยอม ชยากร มารดาโจทก์ว่า โจทก์ บิดาโจทก์และนางพยอมประกอบอาชีพทุกคน โจทก์จะกลับบ้านเวลา 19 นาฬิกาบิดาโจทก์กลับบ้านเวลา 18 นาฬิกา และนางพยอมกลับจากการขายลอตเตอรี่หน้าปากซอยกลับถึงบ้านเวลา 19 นาฬิกา ผู้เยาว์จะมีพี่เลี้ยงซึ่งเป็นคนรับใช้ และนางสายหยุด สุวรรณรังค์ ป้าของโจทก์ดูแล ถ้าผู้เยาว์ไม่ไปโรงเรียนนางพยอมจะกลับมาดูแล ถ้าผู้เยาว์ไปโรงเรียนนางพยอมจะไปดูแลผู้เยาว์ที่โรงเรียนเป็นประจำเห็นว่า เมื่อโจทก์ บิดามารดาโจทก์ต่างประกอบอาชีพโอกาสที่จะดูแลเอาใจใส่ผู้เยาว์ย่อมมีน้อย และที่นางพยอมอ้างว่า ได้ไปดูแลผู้เยาว์ที่โรงเรียนในตอนกลางวันเป็นประจำและเมื่อผู้เยาว์กลับบ้านก็จะเป็นผู้เตรียมอาหารให้ผู้เยาว์เสร็จแล้วจึงจะออกไปขายลอตเตอรี่ ไม่มีเหตุผลให้เชื่อถือได้เพราะผู้เยาว์มีพี่เลี้ยงกับนางสายหยุดซึ่งเป็นป้าของโจทก์ดูแลผู้เยาว์อยู่แล้ว นางพยอมก็ขายลอตเตอรี่โอกาสจะปลีกตัวมาดูแลผู้เยาว์ย่อมเป็นไปได้ยากประกอบกับโจทก์ บิดาโจทก์ และนางพยอมก็กลับบ้านเย็นมากแม้ผู้เยาว์จะมีป้าของโจทก์และพี่เลี้ยงดูแล ผู้เยาว์ก็ขาดความอบอุ่นทางใจไม่เหมือนกับบิดามารดาเลี้ยงดูเอาใจใส่ด้วยตนเองปัจจุบันนี้โจทก์ก็มีภริยาใหม่แล้ว เมื่อพิจารณารายงานแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้เยาว์ของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางประกอบแล้ว จากการสืบเสาะของพนักงานคุมประพฤติในการสอบถามจากโจทก์จำเลยตลอดจนพยานของทั้งสองฝ่ายและตัวผู้เยาว์เองก็ปรากฏว่าโจทก์อยู่บ้านเป็นครั้งคราวโดยเฉพาะผู้เยาว์เมื่อมาพบพนักงานคุมประพฤติ มีท่าทางหวาดระแวงเกาะติดอยู่กับจำเลยผู้เป็นมารดาตลอดเวลา จากการสอบถามผู้เยาว์ก็ประสงค์จะอยู่กับจำเลยเพราะอยู่กับโจทก์ไม่มีใครเล่นด้วย ผู้เยาว์นอนกับจำเลยและชอบให้จำเลยนอนกอดเล่านิทานให้ฟัง นอกจากนี้ศาลฎีกาก็เห็นว่า ความผูกพันทางจิตใจของมารดาต่อบุตรที่ตนให้กำเนิดมาจะแนบแน่นมากกว่าผู้เป็นบิดา เช่นเดียวกันกับจำเลยกลัวผู้เยาว์ได้รับความลำบากเพราะเมื่อหย่าขาดจากโจทก์แล้ว จำเลยไม่มีงานทำทั้งโจทก์ไม่ให้ค่าเลี้ยงดูชีพแก่จำเลย จำเลยจึงยอมให้โจทก์ปกครองดูแลผู้เยาว์แต่จำเลยก็พยายามหาทางไปพบผู้เยาว์ที่บ้านโจทก์ โจทก์และภริยาใหม่กลับกีดกันไม่ให้จำเลยพบผู้เยาว์จนจำเลยต้องร้องเรียนขอความเป็นธรรมที่สำนักงานคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ประชาชนสำนักงานอัยการสูงสุด จึงได้มีโอกาสปกครองดูแลผู้เยาว์บ้างเป็นครั้งคราว ซึ่งก็ปรากฏว่าชั่วระยะเวลาอันสั้นในการที่จำเลยปกครองดูแลผู้เยาว์ ผู้เยาว์กลับประสงค์จะอยู่กับจำเลย แสดงว่าผู้เยาว์ขาดความอบอุ่นทางจิตใจขณะอยู่กับโจทก์ ขณะนี้ผู้เยาว์มีอายุ 8 ปีแล้วอยู่ในวัยที่ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ เมื่อผู้เยาว์มีความผูกพันจำเลยมากกว่าโจทก์ การที่ผู้เยาว์อยู่กับจำเลยจะมีผลดีต่อสุขภาพจิตของผู้เยาว์ ส่วนในเรื่องความสามารถในการเลี้ยงดูผู้เยาว์นั้น ปัจจุบันนี้เหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะจำเลยได้ประกอบอาชีพมั่นคงพอที่จะเลี้ยงดูผู้เยาว์ได้โดยไม่เดือดร้อน ทั้งตาและยายของผู้เยาว์ก็คอยจุนเจืออยู่ และช่วยจำเลยเลี้ยงดูผู้เยาว์ด้วย เนื่องจากบุคคลทั้งสองไม่ได้ทำงานผู้เยาว์ก็เรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนซึ่งจำเลยเป็นครูสอนอยู่จำเลยจึงสามารถดูแลผู้เยาว์ได้ใกล้ชิดเป็นที่อบอุ่นใจของผู้เยาว์ประกอบกับผู้เยาว์อยู่ในวัยพอจะรับรู้สภาพแวดล้อมได้ ประสงค์จะอยู่กับจำเลยเพื่อสวัสดิภาพของผู้เยาว์ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างสุขภาพจิตของผู้เยาว์ให้มีสภาพเช่นเดียวกับผู้เยาว์คนอื่นที่อยู่ในครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมและเพื่อให้เป็นไปตามความสมัครใจของผู้เยาว์ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566(5)ชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ถอนอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ของโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะโจทก์มิได้ใช้อำนาจปกครองเกี่ยวแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบหรือประพฤติชั่วร้าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1582โจทก์เพียงแต่ไม่สามารถปกครองดูแลผู้เยาว์ให้ได้รับความผาสุกอันอาจเป็นเหตุให้สุขภาพจิตของผู้เยาว์เสื่อมลงเท่านั้น กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะถอนอำนาจปกครองของโจทก์ได้ในชั้นนี้ แต่ตามพฤติการณ์ของคดีที่ได้ความเห็นสมควรที่จะให้การใช้อำนาจปกครองเด็กชายอิทธิฤทธิ์ ผู้เยาว์อยู่กับจำเลยซึ่งเป็นมารดาฝ่ายเดียวตามบทบัญญัติในมาตรา 1566(5) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เพิกถอนอำนาจปกครองเด็กชายอิทธิฤทธิ์บุตรผู้เยาว์ของโจทก์แต่ให้อำนาจปกครองเด็กชายอิทธิฤทธิ์ผู้เยาว์อยู่กับจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์