คำวินิจฉัยที่ 74/2558

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีนี้เป็นคดีที่เอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดิน น.ส. ๓ แปลงพิพาท ปลัดอำเภอปฏิบัติราชการแทนนายอำเภอมีหนังสือแจ้งว่าพื้นที่ที่ดำเนินการรังวัดสอบเขตที่สาธารณประโยชน์บ้านหนองไม้แก่นและได้ออกหนังสือสำคัญทับซ้อนที่ดินของผู้ฟ้องคดีและห้ามไม่ให้ผู้ฟ้องคดีทำประโยชน์ในที่ดินแปลงพิพาท ผู้ฟ้องคดีขอคัดสำเนาสารบบการครอบครองที่ดินเมื่อปี ๒๕๕๔ สำนักงานที่ดินอำเภอแจ้งว่าได้ตรวจสอบแล้วไม่พบหลักฐานการครอบครองที่ดินแปลงพิพาท ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้เคยทำนิติกรรมกับสำนักงานที่ดิน ๕ ครั้งและเสียภาษีบำรุงท้องที่มาโดยตลอด จากการตรวจสอบเขตที่สาธารณประโยชน์ของช่างรังวัดได้ระบุข้อความในเอกสารว่า “ไม่สามารถหาหลักฐานครอบลงในแผนที่เดิมได้” การประกาศเขตที่หลวงของราชการจึงกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีคืนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทและออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี เห็นว่า แม้คดีจะมีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาทของหน่วยงานทางปกครอง แต่เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายในการฟ้องคดีนี้เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะปฏิบัติตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติ ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๗๔/๒๕๕๘

วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๘

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดชัยนาท

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดีและศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ นายธเนศ เมฆจำเริญ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง กรมที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๘๒๖/๒๕๕๗ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๓๓ หมู่ที่ ๗ ตำบลสะพานหิน อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท จำนวนเนื้อที่ประมาณ ๕๐ ไร่ ต่อมาปลัดอำเภอปฏิบัติราชการแทนนายอำเภอหนองมะโมง ได้มีหนังสือ ที่ ชน ๐๗๑๗/๒๔๑๑ ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ แจ้งว่าพื้นที่ดำเนินการรังวัดสอบเขตที่สาธารณประโยชน์บ้านหนองไม้แก่น ตามหลักฐานหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ ๑๗๒๔๖ เนื้อที่ดิน ๒๗๙ ตารางวา ออกเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๒๖ ทับซ้อนกับพื้นที่การครอบครองทำประโยชน์ นส. ๓ เลขที่ ๓๓ ของผู้ฟ้องคดี ทางด้านทิศตะวันออก มีเนื้อที่จำนวน ๓๙ ไร่ ๓ ตารางวา เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๔ ปลัดอำเภอปฏิบัติราชการแทนนายอำเภอหนองมะโมงได้ชี้แจงไม่ให้ผู้ฟ้องคดีทำประโยชน์ในที่ดินแปลงพิพาท เพราะทางราชการจะนำไปใช้ในโครงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ ผู้ฟ้องคดีจึงได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยว่ามีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงทับที่ดิน น.ส. ๓ ของผู้ฟ้องคดีขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกถอนการกำหนดเขตที่สาธารณประโยชน์ ซึ่งจังหวัดชัยนาทได้ตรวจสอบแล้วพบว่าที่สาธารณประโยชน์ประจำหมู่บ้านหมู่ที่ ๘ เลขที่ ๑๗๒๖๔๖ ตำบลกุดจอก อำเภอวัดสิงห์ (ปัจจุบันตั้งอยู่หมู่ที่ ๗ ตำบลสะพานหิน อำเภอหนองมะโมง) เนื้อที่ดิน ๒๗๙ ไร่ ๗๘ ตารางวา ผลการรังวัดได้รูปแผนที่และเนื้อที่คงเดิม ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้คัดค้านการรังวัดดังกล่าว ต่อมา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสะพานหินได้มีหนังสือเชิญผู้ฟ้องคดีไปทำความตกลงเพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หลังจากนั้นผู้ฟ้องคดีมีหนังสือสอบถามความคืบหน้าเรื่องดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีแจ้งว่าอยู่ระหว่างการพิจารณาของจังหวัดชัยนาท ผู้ฟ้องคดีได้ขอคัดสำเนาสารบบการครอบครองที่ดินตาม น.ส. ๓ ของผู้ฟ้องคดีเมื่อปี ๒๕๕๔ สำนักงานที่ดินอำเภอหนองมะโมงแจ้งว่าได้ตรวจสอบแล้วไม่พบหลักฐานการครอบครองที่ดิน น.ส. ๓ แปลงพิพาท ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ทำนิติกรรมกับสำนักงานที่ดิน ๕ ครั้งและเสียภาษีบำรุงท้องที่ในที่ดินพิพาทมาโดยตลอด จากการตรวจสอบเขตที่สาธารณประโยชน์ของช่างรังวัด เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๓ ได้มีการระบุข้อความลงในเอกสารว่า “ไม่สามารถหาหลักฐานครอบลงในแผนที่เดิมได้” แสดงว่า การประกาศเขตที่หลวงของราชการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีคืนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทและออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี พร้อมทั้งให้ผู้บุกรุกรื้อถอนกล้าไม้ทั้งหมดออกจากที่ดินพิพาท
ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ผลการตรวจสอบของจังหวัดชัยนาทปรากฏว่า ที่สาธารณประโยชน์แปลงพิพาทประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน เป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ประมาณ ๕๐ ปี จึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน ส่วนที่ดินของผู้ฟ้องคดีเดิมเป็นของนายประเทือง ใจแสน ได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์หลังจากเป็นที่สาธารณะ ตามใบจองเลขที่ ๓๓ หมู่ที่ ๘ ตำบลกุดจอก อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ออกเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๑๘ ต่อมาได้ขอออก น.ส. ๓ เลขที่ ๓๓ หมู่ที่ ๗ (๘) ตำบลสะพานหิน (กุดจอก) อำเภอวัดสิงห์ (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนองมะโมง) จังหวัดชัยนาท เนื้อที่ ๕๐ ไร่ ซึ่งเป็นการออก น.ส.๓ สืบเนื่องจากใบจองที่ออกในที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันต้องห้ามตามข้อ ๓ (๑) ของระเบียบว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน น.ส. ๓ ย่อมออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องพิจารณาดำเนินการแก้ไขหรือเพิกถอนตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน จึงไม่มีเหตุที่จะต้องเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงพิพาทแต่อย่างใด โดยผู้ถูกฟ้องคดียังไม่ได้มีคำสั่งทางปกครองให้เพิกถอน น.ส. ๓ ที่พิพาท จึงยังไม่กระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดียื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใด และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องจากผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๓๓ หมู่ที่ ๗ ตำบลสะพานหิน อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท จำนวนเนื้อที่ประมาณ ๕๐ ไร่ ออกเมื่อ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๑๙ ต่อมาปลัดอำเภอปฏิบัติราชการแทนนายอำเภอหนองมะโมง ได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ แจ้งผู้ฟ้องคดีว่าพื้นที่ดำเนินการรังวัดสอบเขตที่สาธารณประโยชน์บ้านหนองไม้แก่น ตามหลักฐานหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ ๑๗๒๔๖ เนื้อที่ดิน ๒๗๙ ไร่ ๗๘ ตารางวา ออกเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๒๖ ทับซ้อนกับพื้นที่การครอบครองทำประโยชน์ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีประสงค์ให้ทางราชการดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน น.ส. ๓ ที่พิพาท จากการสอบถามผู้ถูกฟ้องคดีได้แจ้งว่าจะเพิกถอน น.ส. ๓ ตามมติของคณะอนุกรรมการ ตามรายงานการประชุม คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (กบร.จังหวัด) ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๔ และบันทึกการสอบสวนของอำเภอหนองมะโมง ลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๔ ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีคืนกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่พิพาท ที่อ้างว่าทับที่หลวงคืนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ บัญญัติว่าสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ประกอบกับมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่านายอำเภอมีหน้าที่ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้น นายอำเภอวัดสิงห์ในฐานะผู้ดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ จึงได้มีหนังสือ ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๒๑ ขอรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงที่สาธารณประโยชน์ของหมู่บ้าน หมู่ที่ ๘ ตำบลกุดจอก อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท โดยมอบให้ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๘ ตำบลกุดจอก และกำนันตำบลกุดจอกเป็นผู้นำชี้แนวเขตแทน โดยช่างรังวัดได้ออกไปทำการรังวัดเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๒๒ ผลการรังวัดตามที่ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๘ และผู้แทนสภาตำบลกุดจอก ได้นำชี้แนวเขตได้เนื้อที่ประมาณ ๒๗๙ ไร่ ๗๘ ตารางวา เจ้าของที่ดินข้างเคียงมาระวังแนวเขตครบ เจ้าหน้าที่ได้ประกาศแจกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดังกล่าวมีกำหนด ๓๐ วันแล้วไม่มีผู้คัดค้านแต่อย่างใด และรองอธิบดีกรมที่ดินปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมที่ดิน ได้ลงนามและออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ ๑๗๒๔๖ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๒๖ โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการรังวัดและออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ ๑๗๒๔๖ (ที่สาธารณประโยชน์ประจำหมู่บ้านหมู่ที่ ๘) ตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนดไว้ตามมาตรา ๘ ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๖ (พ.ศ. ๒๕๑๖) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ คำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ ๙๔๘/๒๕๑๖ ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ เรื่อง มอบหมายการดำเนินการขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน และระเบียบกรมที่ดิน ว่าด้วยการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง พ.ศ. ๒๕๑๗ นั้น จึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง เมื่อผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าที่สาธารณประโยชน์หนองไม้แก่น ตามหลักฐานหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ ๑๗๒๔๖ ทับซ้อนกับพื้นที่การครอบครองทำประโยชน์ น.ส. ๓ เลขที่ ๓๓ ของผู้ฟ้องคดีทางด้านทิศตะวันออก จึงเป็นกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับความมีอยู่หรือสถานะของที่สาธารณประโยชน์ มิใช่คดีที่เกี่ยวกับสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด ดังนั้น คดีนี้จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างเอกชนด้วยกันเอง แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดชัยนาทพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นคดีที่เอกชนยื่นฟ้องคัดค้านว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐรังวัดที่ดินออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ ๑๗๒๔๖ ตำบลกุดจอก อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ทับซ้อนกับพื้นที่การครอบครองทำประโยชน์ น.ส. ๓ เลขที่ ๓๓ ของผู้ฟ้องคดี โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องคดีให้การโต้แย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน เป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นที่ดินที่เข้าครอบครองและทำประโยชน์ภายหลังจากการเป็นที่สาธารณะ ดังนั้นก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้ ศาลจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงให้ได้ข้อยุติถึงสิทธิครอบครองและการใช้ประโยชน์ในที่ดินของคู่ความเป็นสำคัญ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่เอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๓๓ หมู่ที่ ๗ ตำบลสะพานหิน อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ปลัดอำเภอปฏิบัติราชการแทนนายอำเภอหนองมะโมงมีหนังสือแจ้งว่าพื้นที่ดำเนินการรังวัดสอบเขตที่สาธารณประโยชน์บ้านหนองไม้แก่น ตามหลักฐานหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ ๑๗๒๔๖ หมู่ที่ ๗ ตำบลสะพานหิน อำเภอหนองมะโมง จังหวัดชัยนาท นั้น ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีและไม่ให้ผู้ฟ้องคดีทำประโยชน์ในที่ดินแปลงพิพาท ผู้ฟ้องคดีขอคัดสำเนาสารบบการครอบครองที่ดินเมื่อปี ๒๕๕๔ สำนักงานที่ดินอำเภอหนองมะโมงแจ้งว่าได้ตรวจสอบแล้วไม่พบหลักฐานการครอบครองที่ดินแปลงพิพาท ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ทำนิติกรรมกับสำนักงานที่ดิน ๕ ครั้งและเสียภาษีบำรุงท้องที่มาโดยตลอด จากการตรวจสอบเขตที่สาธารณประโยชน์ของช่างรังวัดได้ระบุข้อความในเอกสารว่า “ไม่สามารถหาหลักฐานครอบลงในแผนที่เดิมได้” การประกาศเขตที่หลวงของราชการจึงกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีคืนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทและออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า เจ้าของที่ดินเดิมได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์หลังจากที่ดินเป็นที่สาธารณะ ต่อมาได้ขอออก น.ส. ๓ ที่พิพาทจากใบจองที่ออกในที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันจึงต้องห้ามตามข้อ ๓ (๑) ของระเบียบว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน จึงเป็นการออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องพิจารณาดำเนินการแก้ไขหรือเพิกถอนตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เห็นว่า แม้คดีจะมีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาทของหน่วยงานทางปกครอง แต่เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายในการฟ้องคดีนี้เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะปฏิบัติตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติ ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายธเนศ เมฆจำเริญ ผู้ฟ้องคดี กรมที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายจรัญ หัตถกรรม)
รองประธานศาลปกครองสูงสุดคนที่หนึ่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานศาลปกครองสูงสุด

(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share