คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2009/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้เมทแอมเฟตามีนจำนวน 400 เม็ด ที่จำเลยจำหน่ายให้แก่สายลับจะเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายทั้งหมดก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยก็แยกเจตนาเป็นสองกรรมต่างหากจากกันได้เพราะการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นความผิดซึ่งอาศัยเจตนาในการกระทำความผิดแตกต่างแยกจากกันได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรม หาใช่เป็นความผิดกรรมเดียวไม่
การที่จำเลยได้ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับตามที่ได้ตกลงกันถือได้ว่าเป็นการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนสำเร็จบริบูรณ์แล้ว แม้จะยังไม่ได้ชำระราคาหรือเงินให้กันก็ตาม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน หาใช่เป็นความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 15 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 15 ปี รวมจำคุก 30 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 15 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 10 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 10 ปี รวมจำคุก 20 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 โดยคู่ความไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นจับกุมจำเลยได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนจำนวน 80 เม็ด จากกระเป๋ากางเกงด้านหน้าข้างขวาของจำเลยและได้เมทแอมเฟตามีนจำนวน 400 เม็ด ซึ่งสายลับล่อซื้อได้จากจำเลยเป็นของกลาง ในชั้นจับกุมและชั้นพิจารณาของศาล จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต คดีคงมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความจากการนำสืบของโจทก์โดยจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างว่า หลังจากที่จำเลยจำหน่ายและส่งมอบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 400 เม็ด ให้แก่สายลับและสิบตำรวจตรีวัชระ แสงเพชร แล้ว ร้อยตำรวจโท อรรณพ อิ่มอุดม ซึ่งซุ่มคอยอยู่ได้เข้าจับกุมจำเลยทันที และเมื่อตรวจค้นตัวจำเลยยังพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 80 เม็ด อยู่ในกระเป๋าการงเกงด้านหน้าข้างขวาของจำเลยอีกด้วย แสดงให้เห็นว่า หลังจากจำเลยได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 400 เม็ด ให้แก่สายลับและสิบตำรวจตรีวัชระแล้ว จำเลยยังคงมีเมทแอมเฟตามีนเหลืออยู่ในความครอบครองของจำเลยอีกจำนวน 80 เม็ด จำเลยจึงมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายรวม 480 เม็ด แม้เมทแอมเฟตามีนจำนวน 400 เม็ด ที่จำเลยจำหน่ายให้แก่สายลับและสิบตำรวจตรีวัชระจะเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายทั้งหมดก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยก็แยกเจตนาเป็นสองกรรมต่างหากจากกันได้เพราะการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นความผิดซึ่งอาศัยเจตนาในการกระทำความผิดแตกต่างแยกจากกันได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรมหาใช่เป็นความผิดกรรมเดียวดังจำเลยฎีกาไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจมิได้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย และเมทแอมเฟตามีนจำนวน 480 เม็ด มิใช่ของจำเลยนั้น เห็นว่า เป็นการฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ และที่จำเลยฎีกาอีกว่า การที่จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับโดยยังไม่ได้มีการชำระราคาหรือส่งมอบเงินให้แก่กัน ถือว่าการจำหน่ายยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเท่านั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความจากร้อยตำรวจโทอรรณพพยานโจทก์ซึ่งเป็นประจักษ์พยานและผู้จับกุมจำเลยโดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้างว่าขณะที่สายลับและสิบตำรวจตรีวัชระรออยู่ที่จุดนัดหมายเพื่อรับมอบแมทแอมเฟตามีนจากจำเลยนั้น พยานเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิ รุ่นสวิง มาพบสายลับมีการยื่นสิ่งของส่งมอบให้แก่กัน เมื่อสิบตำรวจตรีวัชระได้รับสิ่งของแล้วจึงส่งสัญญาณให้จับกุมจำเลยและได้นำเมทแอมเฟตามีนได้จากการล่อซื้อมาให้พยาน แสดงว่าจำเลยได้ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับและสิบตำรวจตรีวัชระตามที่ได้ตกลงกันแล้ว อันถือได้ว่าเป็นการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนสำเร็จบริบูรณ์แล้ว แม้จะยังไม่ได้ชำระราคาหรือเงินให้กันก็ตาม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน หาใช่เป็นความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังจำเลยฎีกาไม่ และที่จำเลยฎีกาขอให้ลดโทษหรือรอการลงโทษนั้น เห็นว่า เมทแอมเฟตามีนวัตถุของกลางมีจำนวนมากถึง 480 เม็ด และคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ถึง 10.445 กรัม ซึ่งตามสภาพและลักษณะแห่งความผิดเป็นมหัตภัยต่อมวลมนุษยชาติอีกทั้งสามารถทำลายทรัพยากรมมนุษย์ บั่นทอนความสงบสุขของสังคมและเศรษฐกิจของชาติอย่างมากมาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ใช้ดุลพินิจวางโทษใหม่ และลดโทษให้แก่จำเลย นับว่าเหมาะสมต่อพฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ทั้งโทษจำคุกที่จำเลยได้รับนั้นเกินกว่า 3 ปี กรณีจึงไม่อาจรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 ริบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิ รุ่นสวิง หมายเลขทะเบียน ขธฉ สข 58 โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้ออีริคสัน หมายเลข 01 – 2764618 และวิทยุติดตามตัวยี่ห้ออีซีคอล หมายเลขเรียก 1500-417090 ของกลางเป็นการมิชอบ เพราะมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดนั้น เห็นว่า ตามทางนำสืบของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าจำเลยใช้ทรัพย์ของกลางทั้งสามรายการดังกล่าวเป็นยานพาหนะและเครื่องมือสำหรับติดต่อซื้อขายยาเสพติดให้โทษอย่างไร คงได้ความจากร้อยตำรวจโทอรรณพเพียงว่า ขณะจับกุมพยานเชื่อว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่และวิทยุติดตามตัวของกลางเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่ใช้ในการติดต่อซื้อขายยาเสพติดให้โทษ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าของกลางทั้งสามรายการดังกล่าวเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ ยานพาหนะ หรือวัตถุอื่นซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 102 ทั้งของกลางทั้งสามรายการดังกล่าวก็มิใช่ทรัพย์สินซึ่งบุคคลมีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยได้กระทำความผิด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาให้ริบของกลางทั้งสามรายการดังกล่าวมาด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษายืน แต่ให้คืนรถจักรยานยนต์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ และวิทยุติดตามตัวของกลางแก่เจ้าของ

Share