แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยออกเช็คพิพาท2ฉบับให้ผู้เสียหายเพื่อชำระค่าเช่าซื้อรถเกรดแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะจำเลยมีเงินในบัญชีไม่พอจ่ายต่อมาผู้เสียหายบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและยึดรถเกรดคืนไปจากจำเลยแม้มีผลทำให้จำเลยไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างให้แก่ผู้เสียหายอีกต่อไปก็หาทำให้ความผิดอาญาที่เกิดขึ้นสำเร็จแล้วระงับไปไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์โดยอัยการพิเศษประจำเขต 8 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 2 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 เดือน รวมโทษทั้งหมดจำคุก 4 เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าจำเลยออกเช็คพิพาท2 ฉบับเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถเกรดให้แก่ผู้เสียหายในวันทำสัญญาเช่าซื้อ จำเลยได้ออกเช็ค 6 ฉบับ รวมทั้งเช็คพิพาท2 ฉบับ ขณะออกเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ จำเลยไม่มีหน้าที่จะต้องชำระค่าเช่าซื้อแต่ละงวดให้แก่ผู้เสียหาย เพราะหนี้ดังกล่าวยังไม่ถึงกำหนดเวลาชำระ และในหนังสือสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.2ไม่มีข้อความให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อด้วยเช็คในแต่ละงวด เช็คพิพาท2 ฉบับจึงไม่เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเช่าซื้อ เห็นว่า จากข้อนำสืบของโจทก์ นายไพบูลย์ พนาพิทักษ์กุล พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของผู้เสียหายไม่ได้เบิกความว่า เมื่อค่าเช่าซื้อแต่ละงวดถึงกำหนดชำระพยานได้ทวงถามให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อเป็นเงินสดก่อนแต่พยานเบิกความว่า ก่อนถึงวันกำหนดชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 5 และงวดที่ 6 พยานได้นำเช็คไปเข้าบัญชีของผู้เสียหายเพื่อให้ธนาคารเรียกเก็บเงินทันที ส่วนจำเลยก็มิได้แจ้งให้นายไพบูลย์ทราบว่าจะสามารถนำเงินสดมาชำระค่าเช่าซื้อในแต่ละงวดได้เมื่อใดเพื่อที่จะแสดงให้เห็นในเบื้องต้นว่า การที่จำเลยออกเช็ค 6 ฉบับ รวมทั้งเช็คพิพาท 2 ฉบับด้วยนั้น คู่กรณีไม่ได้มีเจตนาที่จะให้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร โจทก์นำสืบว่า จำเลยเพิ่งนำเงินค่าเช่าซื้องวดที่ 1 ถึงงวดที่ 3 ไปชำระให้ผู้เสียหายหลังจากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 3 แล้ว ส่วนหนี้ค่าเช่าซื้อที่ถึงกำหนดชำระในงวดที่ 5 และงวดที่ 6 ไม่ปรากฎว่านายไพบูลย์ได้ทวงถามให้จำเลยนำเงินมาชำระก่อนที่จะนำเช็คพิพาท 2 ฉบับไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินจากธนาคารผู้เสียหายประกอบธุรกิจการค้าจำหน่ายรถประเภทใช้งานมีราคาสูง เมื่อมีผู้เช่าซื้อรถไปจากผู้เสียหายผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ชำระค่าเช่าซื้อที่เหลือเป็นงวด ๆ การที่ผู้เสียหายรับเช็คจากจำเลยผู้เช่าซื้อย่อมไม่ประสงค์ที่จะรับเช็คไว้เฉย ๆ เพื่อเป็นประกันการชำระค่าเช่าซื้อแน่ เพราะมีนายชัยณรงค์ ดวงสุวรรณ เป็นผู้ค้ำประกันความรับผิดอยู่แล้วแต่มีความมุ่งหมายที่จะได้รับเงินตามเช็คเมื่อเช็คถึงกำหนดใช้เงินตามงวดที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อ และเพื่อจะได้ตรวจสอบว่าจำเลยได้ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าซื้อหรือไม่อีกด้วยโดยไม่ต้องทวงถามเพราะภูมิลำเนาของจำเลยกับที่ตั้งสำนักงานของผู้เสียหายอยู่คนละอำเภอไม่ปรากฎว่าการสื่อสารติดต่อกันเป็นไปโดยสะดวกที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยได้นำเงินสดไปชำระค่าเช่าซื้อในเดือนเมษายน2537 จำนวน 110,800 บาท และเดือนพฤษภาคม 2537 จำนวน100,000 บาท ให้แก่ผู้เสียหาย แต่จำเลยกลับไม่ขอรับเช็คคืนในงวดที่ชำระค่าเช่าซื้อจากผู้เสียหาย ข้ออ้างของจำเลยไม่มีเหตุผลให้รับฟังได้เพราะถ้าหากจำเลยออกเช็คให้แก่ผู้เสียหายเพื่อเป็นประกันการชำระค่าเช่าซื้อในแต่ละงวด เมื่อจำเลยนำเงินไปชำระค่าเช่าซื้องวดใดจำเลยย่อมมีสิทธิเรียกร้องขอรับเช็คในงวดนั้น ๆ คืนมาได้ นอกจากนี้แม้ว่าในหนังสือสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.2 มิได้มีข้อความว่าจำเลยได้ออกเช็ค 6 ฉบับรวมถึงเช็คพิพาท 2 ฉบับเป็นการชำระค่าเช่าซื้อก็ตาม แต่การที่จำเลยออกเช็คดังกล่าวเป็นวิธีการชำระหนี้อย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถกระทำได้โดยลงวันที่ล่วงหน้าในเช็ค ข้อเท็จจริงเชื่อว่าจำเลยออกเช็คพิพาท 2 ฉบับให้ผู้เสียหายชำระค่าเช่าซื้อรถเกรดตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.2 ในงวดที่ 5 และงวดที่ 6 ประจำเดือนสิงหาคม และกันยายน 2537 และแม้ว่าเมื่อนายไพบูลย์ผู้จัดการทั่วไปของผู้เสียหายนำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะจำเลยมีเงินในบัญชีไม่พอจ่าย ต่อมาผู้เสียหายได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและยึดรถเกรดคืนไปจากจำเลยอันมีผลทำให้จำเลยไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อและยึดรถเกรดคืนไปจากจำเลยอันมีผลทำให้จำเลยไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างให้แก่ผู้เสียหายอีกต่อไปก็ตาม แต่ในกรณีเช่นนี้หาทำให้ความผิดอาญาที่เกิดขึ้นสำเร็จแล้วระงับไปไม่ เพราะในขณะที่จำเลยออกเช็คพิพาท 2 ฉบับและในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งทำให้ความผิดเกิดขึ้นสำเร็จนั้นจำเลยยังมีหน้าที่จะต้องชำระค่าเช่าซื้อให้แก่ผู้เสียหายตามสัญญาเช่าซื้อ เช็คพิพาท 2 ฉบับจึงเป็นเช็คที่มีผลเป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย จำเลยย่อมมีความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่เห็นว่าจำเลยออกเช็คพิพาท 2 ฉบับชำระค่าเช่าซื้อรถเกรดแล้ว ภายหลังเกิดขาดเงินหมุนเวียนไม่สามารถนำเงินเข้าบัญชีเพื่อชำระค่าเช่าซื้อตามงวดที่ระบุไว้ในสัญญาได้จำเลยได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่ผู้เสียหายเป็นเงินหลายแสนบาทและผู้เสียหายได้ยึดรถเกรดคืนไปจำหน่ายตามความประสงค์แล้ว ทั้งสภาพความผิดมิได้ร้ายแรง จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้โอกาสจำเลยประพฤติตัวเสียใหม่โดยรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย แต่เพื่อให้จำเลยสำนึกในการกระทำผิดให้กำหนดโทษปรับอีกสถานหนึ่ง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยกระทงละ 5,000 บาท รวม 2 กระทงปรับ 10,000 บาทโทษจำคุก ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3