แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินกันวันที่ 13 มกราคม 2535 ส่วนประกาศของโจทก์เรื่องกำหนดอัตราดอกเบี้ยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2535 จึงไม่ใช่ประกาศที่ใช้บังคับในขณะทำสัญญากู้ยืมเงิน เมื่อไม่ปรากฏหลักฐานอื่นใดที่ให้สิทธิโจทก์ในการเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี แม้โจทก์จะเป็นธนาคารพาณิชย์มิได้ตกอยู่ภายใต้บังคับแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 654 แต่การคิดดอกเบี้ยของโจทก์จะต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติของ พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ฯ มาตรา 14 ซึ่งกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด การที่โจทก์กำหนดอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้ยืมเงินโดยไม่ปรากฏว่ามีประกาศของโจทก์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว จึงเป็นปฏิบัติฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย ข้อกำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปีในสัญญากู้ยืมเงินจึงตกเป็นโมฆะ
เงินที่จำเลยได้ชำระมาและโจทก์นำไปหักดอกเบี้ยก่อนส่วนที่เหลือจึงเป็นต้นเงินตามรายการในการ์ดบัญชี เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเพราะเหตุโมฆะแล้ว โจทก์จึงไม่อาจนำเงินที่จำเลยชำระแล้วไปหักดอกเบี้ยได้ จำนวนเงินที่จำเลยชำระมาจึงต้องนำไปหักต้นเงินอย่างเดียว และไม่เป็นการชำระดอกเบี้ยอันไม่ชอบด้วยกฎหมายที่จำเลยไม่มีสิทธิเรียกคืน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 174,068.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 120,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์อื่นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และดอกเบี้ยยังไม่ครบ 1 ปี โจทก์ไม่มีสิทธินำดอกเบี้ยทบเข้ากับต้นเงินและคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย และไม่อาจเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย นับแต่จำเลยทำสัญญาจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเกินกว่าเงินที่จำเลยได้กู้ยืมจากโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้หนี้อีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 174,068.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 120,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 ก. เลขที่ 108 ตำบลบางมะฝ่อ อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ ถ้าได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยบังคับชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2535 จำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ จำนวน 150,000 บาท คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.3 โดยจำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 108 ตำบลบางมะฝ่อ อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์ในวงเงิน 150,000 บาท คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยตามสัญญากู้ยืมเงินหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์มีกฎหมายเฉพาะให้สิทธิโจทก์ในการคิดดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย และประกาศของโจทก์ ตามคำสั่งที่ 47/2535 เอกสารหมาย จ.11 ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินกันวันที่ 13 มกราคม 2535 ส่วนคำสั่งที่ 47/2535 เรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ย ส่วนลด และค่าธรรมเนียมในการอำนวยสินเชื่อตามสำเนาประกาศของโจทก์เอกสารหมาย จ.11 กำหนดให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2535 ดังนั้นประกาศของโจทก์เรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์อ้างอิงจึงไม่ใช่ประกาศที่ใช้บังคับในขณะทำสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.3 เมื่อไม่ปรากฏหลักฐานอื่นใดที่ให้สิทธิโจทก์ในการเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในขณะทำสัญญากู้ยืมเงินเป็นการเฉพาะแม้โจทก์จะเป็นธนาคารพาณิชย์มิได้ตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 แต่การคิดดอกเบี้ยของโจทก์จะต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติของพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 มาตรา 14 ซึ่งกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด การที่โจทก์กำหนดอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้ยืมเงินโดยไม่ปรากฏว่ามีประกาศของโจทกเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย ข้อกำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ในสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.3 จึงตกเป็นโมฆะ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ปัญหาว่าจำเลยต้องรับผิดชำระหนี้คืนโจทก์เพียงใดหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนายสุเทพ ตันศิริ ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์เบิกความประกอบการ์ดบัญชีเงินกู้เอกสารหมาย จ.8 ว่า หลังทำสัญญาจำเลยไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตรงตามสัญญาโดยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายวันที่ 28 พฤศจิกายน 2540 เป็นเงิน 16,113.87 บาท แสดงว่ารายการช่องจำนวนเงินที่ชำระในการ์ดบัญชีดังกล่าวหมายถึงจำนวนเงินที่ผู้กู้หรือจำเลยได้ชำระมาแล้วโดยโจทก์จะนำไปชำระดอกเบี้ยก่อนแล้วส่วนที่เหลือจะนำไปหักจากต้นเงินที่ค้างชำระ เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามสัญญาได้เพราะเหตุโมฆะ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยและไม่อาจนำเงินที่จำเลยชำระแก่โจทก์มาแล้วไปหักออกจากดอกเบี้ยที่โจทก์ไม่มีสิทธิคิดได้ จำนวนเงินที่จำเลยได้ชำระมาต้องถือว่าเป็นการชำระต้นเงินให้แก่โจทก์เพียงอย่างเดียว หาใช่เป็นการชำระดอกเบี้ยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้วไม่มีสิทธิเรียกคืนตามที่โจทก์อ้างมาฎีกาแต่ประการใดคำนวณจำนวนเงินที่ชำระตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2535 ถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2540 รวมเป็นเงิน 142,778.49 บาท จึงเหลือต้นเงินที่ค้างชำระตามสัญญาเป็นเงิน 7,221.51 บาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 7,221.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 23 มีนาคม 2543) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด ถ้าได้เงินไม่ครบให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ