คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2658/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขอระบุพยานเพิ่มเติมหลังจากที่คู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบก่อนสืบไปหมดแล้ว คู่ความฝ่ายนั้นต้องแสดงเหตุผลอันสมควรที่ตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อ ประโยชน์ของตน หรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใด เมื่อคำร้องของจำเลยที่ 2ที่ขอระบุพยานเพิ่มเติมหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นไปแล้วมิได้แสดงเหตุผลดังกล่าวเพียงแต่อ้างว่าพลั้งเผลอเท่านั้น ศาลสั่งไม่อนุญาตจึงเป็นการชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์สินเป็นของตนทั้งหมดจากจำเลย แต่พิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่ง ศาลพิพากษาให้แบ่งทรัพย์พิพาทไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีที่ดิน ๑ แปลง ได้มาโดยรับยกให้ตีใช้หนี้โจทก์ได้ปลูกบ้าน ๑ หลังบนที่ดินแปลงนี้และครอบครองตลอดมากับมีกระบือผู้อีก ๒ ตัว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ โจทก์ให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นบุตรไปแจ้งการครอบครองแทน จำเลยที่ ๑ ได้แจ้งเป็นชื่อจำเลยที่ ๑แล้วต่อมาได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในนามจำเลยที่ ๑โจทก์ทราบจึงไปร้องคัดค้าน เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๑๑ โจทก์ให้จำเลยที่ ๑กับจำเลยที่ ๒ ทำนาในที่ดินแปลงดังกล่าว โดยจำเลยทั้งสองจะให้ค่าที่ดินแก่โจทก์เป็นข้าว ๑๐๐ ถัง แต่แล้วก็ไม่ยอมให้ โจทก์ให้จำเลยที่ ๒ ออกไปจากบ้านโจทก์ จำเลยที่ ๒ ก็ไม่ยอมออก จึงขอให้ศาลบังคับขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากบ้านและที่ดินของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้อง ให้จำเลยที่ ๑ เพิกถอนชื่อออกจากแบบแจ้งการครอบครองใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน ถ้าไม่ยินยอมขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา และให้จำเลยที่ ๒ ใช้ข้าวเปลือก๑๐๐ ถัง หรือเงิน ๑,๑๐๐ บาทให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ ซื้อมาจากนายมีนางหอม จำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทมากว่า ๑๐ ปีแล้ว และรับโจทก์กับบิดามาอยู่ด้วย จำเลยที่ ๒ เข้ามาอยู่ในบ้านโดยอาศัยสิทธิจำเลยที่ ๑ กระบือก็เป็นของจำเลยที่ ๑ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ และนางพริ้งภรรยาปกครองร่วมกันมา ต่อมาจำเลยที่ ๑ ไปได้ภรรยาใหม่แล้วไม่ได้ครอบครองที่พิพาท ส่วนเรือนพิพาทนางพริ้งกับนางเล็กบุตรสาวเป็นคนปลูกสร้างขึ้นไม่ใช่ของโจทก์ นางพริ้งยกที่พิพาทกับเรือนให้จำเลยที่ ๒ เมื่อแต่งงานกับนางเล็ก กระบือ ๒ ตัวเป็นของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ไม่เคยตกลงให้ข้าวเปลือกแก่โจทก์
นางพริ้งยื่นคำร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลอนุญาต ผู้ร้องสอดให้การทำนองเดียวกันกับจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์และจำเลยที่ ๑ครอบครองที่พิพาทและบ้านโดยเจตนาเป็นเจ้าของร่วมกัน กระบือ ๒ ตัวเป็นของโจทก์ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ แบ่งทรัพย์ตามฟ้องออกเป็นสองส่วนให้โจทก์ได้หนึ่งส่วน อีกหนึ่งส่วนเป็นของจำเลยที่ ๑ หากตกลงกันไม่ได้ให้ประมูลหรือขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกัน ให้จำเลยที่ ๒ ส่งมอบข้าวเปลือก๑๐๐ ถังหรือเงิน ๑,๑๐๐ บาทแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ ๒ และผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ และผู้ร้องสอดฎีกา
คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาว่า
๑. ที่ดิน บ้าน และกระบือ เป็นของจำเลยที่ ๒ หรือไม่
๒. จำเลยที่ ๒ ต้องชำระข้าวเปลือก ๑๐๐ ถังให้แก่โจทก์หรือไม่
๓. ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยที่ ๒เป็นการชอบหรือไม่
๔. ศาลพิพากษาให้แบ่งทรัพย์พิพาทเป็นการเกินคำขอของโจทก์หรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหาข้อ ๑ และข้อ ๒ ว่า คดีฟังไม่ได้ว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๒ กระบือสองตัวเป็นของโจทก์และจำเลยที่ ๑ปัญหาข้อ ๒ จำเลยที่ ๒ ไม่ได้อุทธรณ์ในข้อนี้ไว้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยส่วนในปัญหาข้อ ๓ ที่ว่า ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ ๒ ที่ขอระบุพยานเพิ่มเติมเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าหลังจากสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนเสร็จสิ้นแล้ว จำเลยที่ ๒ร้องขอระบุพยานเพิ่มเติม โดยอ้างว่าพลั้งเผลอไป โจทก์คัดค้านว่าไม่ควรอนุญาตศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาต และจำเลยที่ ๒ ได้โต้แย้งคำสั่งไว้แล้ว พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การขอระบุพยานเพิ่มเติมหลังจากที่คู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบก่อนสืบไปหมดแล้ว คู่ความฝ่ายนั้นต้องแสดงเหตุผลอันสมควรที่ตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตน หรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใดเมื่อจำเลยที่ ๒ มิได้แสดงเหตุผลดังกล่าวเพียงแต่อ้างว่าพลั้งเผลอเท่านั้นที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาต จึงเป็นการชอบแล้ว
ในปัญหาข้อสุดท้ายที่ว่า ศาลพิพากษาให้แบ่งทรัพย์พิพาทเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์หรือไม่นั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์พิพาทเป็นของตนทั้งหมดจากจำเลย แต่พิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่ง ศาลพิพากษาให้แบ่งทรัพย์พิพาทจึง เป็นการชอบแล้วไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
พิพากษายืน

Share