แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
ไม่มีย่อสั้น
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕๕/๒๕๔๗
วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๗
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดมีนบุรี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจของศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและรับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๕ นายสุวัฒน์ ไตรพันธ์วณิช ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องกรมที่ดิน ที่ ๑ และสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขามีนบุรี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๗๐๓/๒๕๔๕ สรุปข้อเท็จจริงตามคำฟ้องได้ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นสามีของนางวาสนา เกษมสันต์ (ไตรพันธ์วณิช) และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่๔๓๗๑๒ ตำบลมีนบุรี (แสนแสบ) อำเภอมีนบุรี (แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร พร้อมทาวน์เฮ้าส์บ้านเลขที่ ๘๑/๔๒๐ ต่อมานางวาสนาปลอมหนังสือมอบอำนาจซึ่งมีลายมือชื่อของผู้ฟ้องคดีแล้วไปทำการจดทะเบียนโอนขายที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่นายสมศักดิ์ ช้างม่วง เมื่อวันที่ ๑๑กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ต่อเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ โดยเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ รู้อยู่แล้วว่าหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวมีการแก้ไข ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการซื้อขายดังกล่าว และขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีได้ตกลงจะขายให้ผู้ซื้อรายอื่นสูงกว่าแต่ต้องยกเลิกการซื้อขายเป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท และค่าเช่าทาวน์เฮ้าส์ซึ่งให้เช่าอยู่เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท เป็นจำนวน ๑๐ เดือน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๓๕,๐๐๐ บาท
อนึ่ง ก่อนฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีเคยร้องเรียนต่ออธิบดีกรมที่ดินว่า การจดทะเบียนดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้สั่งเพิกถอนโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา๖๑ และให้ลงโทษทางวินัยเจ้าหน้าที่ที่ดินที่ทำงานบกพร่อง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ยอมเพิกถอน ผู้ฟ้องคดีจึงยื่นฟ้องเป็นคดีนี้
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้กระทำการโดยถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับของทางราชการทุกประการตามสำเนาคำสั่งกรมที่ดินที่ ๑๐/๒๕๐๑เรื่อง หนังสือมอบอำนาจ ลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๐๑ หนังสือกรมที่ดิน ด่วนมากที่ ๑๗๓๒/๒๕๐๖ลงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๐๖ และหนังสือกรมที่ดินที่ ๘๓๕๗/๒๕๐๖ ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๐๖ แล้วการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมไถ่ถอนและโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นการใช้ดุลพินิจและกระทำการโดยชอบด้วยกฎหมาย และข้อที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่านางวาสนาได้ทำการปลอมแปลงแก้ไขข้อความในหนังสือมอบอำนาจนั้นไม่เป็นความจริง กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้าง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงไม่จำต้องเพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมสัญญาขายอสังหาริมทรัพย์และทาวน์เฮาส์ตามคำขอของผู้ฟ้องคดี และผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่จำต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งอำนาจศาลว่า คดีนี้มีประเด็นสำคัญต้องพิจารณาวินิจฉัยว่า หนังสือมอบอำนาจของผู้ฟ้องคดีเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นข้อพิพาทในทางแพ่งและเป็นประเด็นสำคัญ เพราะหากศาลฟังว่าหนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารแท้จริงและถูกต้องสมบูรณ์แล้ว กรณีแห่งคดีนี้ก็จะเป็นอันยุติว่าการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมไถ่ถอนและโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในคดีนี้เป็นการถูกต้องสมบูรณ์ ชอบด้วยกฎหมาย ไม่อาจเพิกถอนได้ และประเด็นในเรื่องค่าเสียหายก็ไม่จำต้องพิจารณาแต่อย่างใด ประเด็นที่ว่าหนังสือมอบอำนาจของผู้ฟ้องคดีเป็นเอกสารปลอมหรือไม่เป็นประเด็นที่อยู่ในอำนาจของศาลแพ่งเป็นผู้พิจารณา นอกจากนี้ ผู้ฟ้องคดียังอ้างขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์หรือจดแจ้งรายการจดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์ โดยใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๑ ด้วย ซึ่งการพิจารณาว่าหนังสือมอบอำนาจของผู้ฟ้องคดีเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ต้องพิจารณาตามหลักกฎหมายเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการพิจารณาว่าจะเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้หรือไม่ นอกจากต้องพิจารณาความสมบูรณ์ของนิติกรรมหนังสือมอบอำนาจของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวแล้ว ยังต้องพิจารณาประมวลกฎหมายที่ดินประกอบด้วยโดยจะต้องพิจารณาว่าการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์หรือจดแจ้งเอกสารรายการจดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์โดยคลาดเคลื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ มิได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของนิติกรรมหนังสือมอบอำนาจและการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และตามประมวลกฎหมายที่ดินดังกล่าว คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ผู้ฟ้องคดียื่นคำคัดค้านว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีไม่ได้ฟ้องว่า หนังสือมอบอำนาจที่นางวาสนา นำมายื่นคำขอจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเอกสารปลอมหรือไม่ แต่ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใด เนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น หรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนตามสมควร หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ และยังเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ถือปฏิบัติตามคำสั่งกรมที่ดินที่ ๑๐/๒๕๐๑ ลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๐๑ หนังสือกรมที่ดิน ด่วนมาก ที่ ๑๗๓๒/๒๕๐๖ ลงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๐๖ และหนังสือกรมที่ดินที่ ๘๓๕๗/๒๕๐๖ ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๐๖ อีกทั้งยังละเว้นการถือปฏิบัติตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินในการไม่ตรวจหนังสือมอบอำนาจ จนกระทั่งได้มีการจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างไป คำฟ้องคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ประกอบกับเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๗๖ ที่บัญญัติให้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้น เพื่อให้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่มีข้อพิพาททางกฎหมายปกครองระหว่างเอกชนกับหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือระหว่างหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกันเกี่ยวกับการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หรือเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
ศาลปกครองกลางเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีได้ฟ้องว่าผู้ฟ้องคดีและนางวาสนา ไตรพันธ์วณิช ได้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๓๗๑๒ ตำบลมีนบุรี (แสนแสบ) อำเภอมีนบุรี (แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร พร้อมบ้านทาวน์เฮ้าส์ ๒ ชั้น เลขที่ ๘๑/๔๒๐ ต่อมา นางวาสนา ได้นำหนังสือมอบอำนาจซึ่งมีการแก้ไขปลอมแปลงข้อความโดยไม่มีลายเซ็นของผู้ฟ้องคดีลงนามกำกับไว้ยื่นคำขอต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เพื่อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นายสมศักดิ์ ช้างม่วง และเจ้าหน้าที่ได้จดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้นายสมศักดิ์ เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของเจ้าพนักงานที่ดินดังกล่าว จึงเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา ๗๑แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ที่กำหนดให้เจ้าพนักงานที่ดินเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวมีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอนสงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามนัยมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และในกรณีที่มีการยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมนั้น เมื่อปรากฏต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่านิติกรรมที่คู่กรณีนำมาขอจดทะเบียนนั้นเป็นโมฆะกรรม พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องไม่จดทะเบียนให้ หรือหากนิติกรรมที่คู่กรณีนำมาขอจดทะเบียนนั้นปรากฏว่าเป็นโมฆียะกรรม ให้เจ้าหน้าที่รับจดทะเบียนให้ในเมื่อคู่กรณีฝ่ายที่เสียหายอาจยืนยันให้จดตามมาตรา ๗๓ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และตามกฎกระทรวงฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ดังนั้น ในคดีนี้เมื่อผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า เจ้าพนักงานที่ดินได้ดำเนินการจดทะเบียนขายที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเนื่องมาจากผู้รับมอบอำนาจได้นำใบมอบอำนาจซึ่งมีการแก้ไขโดยที่ผู้มอบอำนาจไม่ได้ลงลายมือชื่อกำกับไว้ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อคำสั่งกรมที่ดินที่ ๑๐/๒๕๐๑ ลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๐๑ ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายที่ดินจึงเป็นการฟ้องให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองและการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดอันเกิดจากคำสั่งดังกล่าว กรณีตามคำฟ้องดังกล่าวจึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และในกรณีที่ข้อหาใดมีหลายประเด็นเกี่ยวพันกัน และปรากฏว่า มีประเด็นที่จำเป็นต้องวินิจฉัยก่อนจึงจะวินิจฉัยประเด็นหลักแห่งคดีได้ว่าอยู่ในอำนาจหรือเขตอำนาจของศาลปกครองชั้นต้นอื่นหรือศาลอื่นซึ่งไม่ใช่ศาลปกครองศาลปกครองชั้นต้นที่รับคดีไว้มีอำนาจวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวพันกันที่จะต้องวินิจฉัยก่อนนั้น เพื่อให้ศาลสามารถวินิจฉัยประเด็นหลักแห่งคดีได้ คดีนี้ ประเด็นหลักผู้ฟ้องคดีฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองและความรับผิดทางละเมิดอันเกิดจากคำสั่งทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้ามีความจำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นที่เกี่ยวพันกันในเรื่องความสมบูรณ์ของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ศาลปกครองก็มีอำนาจที่จะวินิจฉัยได้ ทั้งนี้ตามข้อ ๔๑ วรรคสอง แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดมีนบุรีเห็นว่า ข้อพิพาทเรื่องนี้ ประเด็นหลักคือ ใบมอบอำนาจของผู้ฟ้องคดี ฉบับลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ที่เจ้าหน้าที่ที่ดินใช้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นายสมศักดิ์ ผู้ซื้อ ปลอมหรือไม่ การที่ศาลจะพิจารณาว่า ใบมอบอำนาจปลอมหรือไม่ เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของนิติกรรม ศาลจะต้องพิจารณาตามหลักของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพิจารณาผลกระทบของผู้ซื้อที่ดินซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหากศาลฟังว่าใบมอบอำนาจของผู้ฟ้องคดีนั้นไม่ใช่เอกสารปลอมและนิติกรรมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลก็ไม่มีอำนาจจะสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นได้ ทั้งเจ้าหน้าที่ที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนการจดทะเบียนซื้อขาย กล่าวคือ ก่อนจดทะเบียนได้ไต่สวนผู้ขอกับผู้เกี่ยวข้องกับตรวจสอบเอกสารที่นำมายื่นตามระเบียบแล้ว เห็นว่า เอกสารและใบมอบอำนาจถูกต้องจึงดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ดินได้ดำเนินการหรือปฏิบัติตามมาตรา ๗๑ ถึง ๗๕ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว และการที่เจ้าหน้าที่ที่ดินจดทะเบียนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้ก็โดยดำเนินการตามคำขอของคู่กรณี มิได้มีคำสั่งหรือสั่งให้คู่กรณีปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือกฎหมายแต่อย่างใด มิใช่เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีถูกโต้แย้งการกระทำของหน่วยงานทางปกครองที่ไม่กระทำการหรือละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด จึงเข้าลักษณะเป็นข้อพิพาทที่ศาลยุติธรรมจะพิจารณาพิพากษาได้ ไม่เข้าลักษณะเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อเป็นเช่นนี้ ประเด็นเรื่องค่าเสียหายซึ่งเป็นประเด็นข้อพิพาทรองจากประเด็นหลักดังกล่าวจึงไม่เป็นข้อสำคัญที่จะทำให้คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองกลาง คดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๗๑
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่จะต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้สรุปได้ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นสามีของนางวาสนาและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท ต่อมานางวาสนาทำการปลอมหนังสือมอบอำนาจให้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่มีลายมือชื่อของผู้ฟ้องคดีแล้วนำไปทำการจดทะเบียนโอนขายให้แก่นายสมศักดิ์ต่อเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ โดยเจ้าหน้าที่รู้ว่าเป็นหนังสือมอบอำนาจปลอม แต่ก็ยังทำการจดทะเบียนให้ ผู้ฟ้องคดีร้องเรียนต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ขอให้ใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๑ เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนดังกล่าว และลงโทษทางวินัยแก่เจ้าหน้าที่ที่ทำงานบกพร่อง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่เพิกถอน จึงขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนสิทธิและขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้กระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย กฎระเบียบ ของทางราชการทุกประการ และได้ใช้ดุลพินิจโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน จึงไม่จำต้องเพิกถอน คดีนี้มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับนิติกรรมการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ในเรื่องเกี่ยวกับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติไว้ว่า
มาตรา ๑๒๙๘ ทรัพยสิทธิทั้งหลายนั้น ท่านว่าจะก่อตั้งขึ้นได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น
มาตรา ๑๒๙๙ ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่
ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว
ดังนั้น ทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์จะก่อตั้งขึ้นได้เฉพาะแต่ด้วยผลทางกฎหมายและต้องทำการจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ โดยกฎหมายกำหนดวิธีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินและกฎกระทรวง ซึ่งการที่กฎหมายกำหนดไว้เช่นนี้ก็เพื่อรับรองสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลและขจัดข้อพิพาทให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด โดยมีเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ดำเนินการให้ การจดทะเบียนหรือการกระทำต่างๆ ของเจ้าหน้าที่ก็จำต้องพิจารณาถึงสิทธิในทางแพ่งของบุคคลผู้มาขอจดทะเบียนเป็นสำคัญ สำหรับในเรื่องนี้ การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่พิพาทของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ข้อเท็จจริงว่านางวาสนาได้รับมอบอำนาจให้โอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหากได้ความว่าการมอบอำนาจถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมพิพาทก็ย่อมจะชอบด้วยกฎหมายมีผลให้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โอนไปเป็นของนายสมศักดิ์ ผู้ซื้อ แต่หากการมอบอำนาจไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ ผู้ฟ้องคดีมิได้แสดงเจตนามอบอำนาจให้นางวาสนากระทำการดังกล่าว การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมพิพาทก็ย่อมจะไม่ชอบด้วยกฎหมายมีผลให้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นของผู้ฟ้องคดี ข้อพิพาทในคดีนี้เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากนิติสัมพันธ์กันในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันเอง จึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับนิติสัมพันธ์ของบุคคลในทางแพ่ง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายสุวัฒน์ ไตรพันธ์วณิช ผู้ฟ้องคดี กรมที่ดิน ที่ ๑และสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขามีนบุรี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลจังหวัดมีนบุรี
(ลงชื่อ) ศุภชัย ภู่งาม (ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายศุภชัย ภู่งาม) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท วิรัตน์ บรรเลง (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(วิรัตน์ บรรเลง) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ