แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 264, 268, 91 ซึ่งแต่ละกระทงความผิดกำหนดโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง จึงต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าพยานโจทก์ปากต่าง ๆ ต่างยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ทำปลอมใบถอนเงิน จึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการอนุญาตหรือรับรองให้อุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ตรี การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔, ๒๖๘, ๙๐, ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔ วรรคแรก, ๒๖๘, ๙๑ จำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมด้วยตนเอง ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘ วรรคสอง จำคุกกระทงละ ๑ ปี รวม ๔๖ กระทง รวมเป็นจำคุก ๔๖ ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุก ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำและใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔, ๒๖๘, ๙๑ ซึ่งแต่ละกระทงความผิดกำหนดโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ ทวิ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าพยานโจทก์ปากต่าง ๆ ต่างยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ทำปลอมใบถอนเงินนั้น จึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการอนุญาต หรือการรับรองให้อุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ ตรี การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๕ ปัญหาตามฎีกาของจำเลยจึงไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔ และยกฎีกาของจำเลย.