แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กับพวกร่วมกันยึดถือที่ดินเป็นเจ้าของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมคนหนึ่งย่อมฟ้องผู้ที่เข้ามารบกวนหรือแย่งที่ดินที่โจทก์กับพวกถือสิทธิเป็นเจ้าของนั้นได้
ย่อยาว
คดีได้ความตามทางพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า เดิมที่ดินบริเวณที่พิพาทเป็นป่าสงวน โจทก์กับพวกเข้าแผ้วถาง ต่อมาพนักงานป่าไม้ห้ามไม่ให้เข้าแผ้วถาง โจทก์กับพวกยื่นคำร้องไปยังนายกรัฐมนตรีในที่สุดทางราชการสั่งให้โจทก์กับพวกจับจองที่รายนี้ได้ จำเลยที่ 1 ได้บุกรุกเข้าไปแผ้วถางที่ดินที่โจทก์ขอจับจองและปลูกต้นผลอาสินไว้โจทก์ยื่นคำร้องต่ออำเภอ ๆ เรียกจำเลยที่ 1 ไปและทำหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อคณะกรมการอำเภอว่า ที่พิพาทหมาย ก. ตกได้แก่โจทก์ ที่หมาย ค. ตกได้แก่จำเลยที่ 1 และให้โจทก์ใช้เงิน 1,200 บาท แก่จำเลยที่ 1 ๆ ไม่ปฏิบัติตามสัญญายอม ส่วนที่พิพาทหมาย ข. มีขนำของจำเลยที่ 3 ปลูกอยู่นานแล้ว ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์จะอาศัยสัญญาที่ทำกับจำเลยที่ 1 มาบังคับจำเลยที่ 3 ไม่ได้และตามสำนวนไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้เกี่ยวข้องกับโจทก์อย่างไรศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินหมาย ก. ในแผนที่วิวาทเป็นของโจทก์ให้โจทก์จ่ายเงิน1,200 บาท ให้จำเลยที่ 1 รับไป ฟ้องโจทก์นอกนั้นให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วในข้อกฎหมาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์กับพวกร่วมกันยึดถือที่ดินเป็นเจ้าของ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมคนหนึ่ง ย่อมฟ้องผู้ที่เข้ามารบกวนหรือแย่งที่ดินที่โจทก์กับพวกถือสิทธิเป็นเจ้าของนั้นได้