แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยรื้อรั้วตามรูปกากบาทเส้นสีแดงในแผนที่เอกสารท้ายฟ้อง เฉพาะบางส่วนที่เริ่มตั้งแต่ด้านทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกจนถึงแนวยุ้งข้าวของโจทก์ตามระยะทางที่โจทก์สามารถนำรถยนต์เข้าไปขนข้าวในยุ้งข้าวของโจทก์ได้ ฉะนั้น การที่จำเลยแถลงต่อศาลว่าไม่ได้รื้อรั้วตั้งแต่ด้านทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกจนถึงแนวยุ้งข้าวของโจทก์แต่อย่างใดแสดงว่าจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว จึงมีอำนาจโดยชอบโดยตรงที่จะดำเนินการแก่จำเลยเพื่อให้คำพิพากษาของศาลฎีกามีผลบังคับใช้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 302 ส่วนวิธีดำเนินการกับจำเลยเกี่ยวกับการรื้อรั้วนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 เบญจ ได้บัญญัติไว้แล้ว แต่ศาลชั้นต้นหาได้กระทำไม่ กลับออกคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ เพราะจำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกาอยู่แล้วโดยไม่จำต้องให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีบังคับคดีต่อไป
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยรื้อรั้วตามรูปกากบาทเส้นสีแดงในแผนที่สำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 เฉพาะบางส่วนที่เริ่มต้นตั้งแต่ทางด้านทิศตะวันออกไปทางด้านทิศตะวันตกจนถึงแนวยุ้งข้าวโจทก์ ตามระยะเวลาทางที่โจทก์จะสามารถนำรถยนต์เข้าไปขนข้าวในยุ้งข้าวของโจทก์ได้
เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าจำเลยได้รื้อรั้วพิพาทแล้วบางส่วนมีความกว้าง 4 เมตร ซึ่งระยะดังกล่าวโจทก์สามารถนำรถยนต์เข้าไปขนข้าวในยุ้งข้าวของโจทก์ได้ และจำเลยแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว โจทก์แถลงว่าจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาโดยครบถ้วน จำเลยต้องรื้อรั้วตั้งแต่หัวเสาทางด้านทิศตะวันออกไปถึงแนวยุ้งข้าวของโจทก์ โจทก์และจำเลยไม่สามารถตกลงกันได้ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงงดการบังคับคดีขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งต่อไป
ในวันนัดพร้อมศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์และจำเลย โจทก์แถลงว่า จำเลยรื้อรั้วเฉพาะบริเวณยุ้งข้าวของโจทก์เท่านั้น แต่ไม่ได้รื้อรั้วตั้งแต่ทางด้านทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกจนถึงยุ้งข้าวโจทก์
จำเลยแถลงว่า จำเลยได้รื้อรั้วแล้วบางส่วนเพื่อเป็นช่องให้โจทก์นำรถยนต์เข้าไปขนข้าวในยุ้งข้าวของโจทก์ได้ แต่ไม่ได้รื้อรั้วตั้งแต่ทางด้านทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกจนถึงแนวยุ้งข้าวของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยมีหน้าที่ต้องรื้อรั้วตั้งแต่ทางด้านทิศตะวันออกไปทางด้านทิศตะวันตกจนถึงแนวยุ้งข้าวของโจทก์ จึงมีคำสั่งให้จำเลยรื้อรั้วบางส่วนทางด้านทิศตะวันออกไปทางด้านทิศตะวันตกจนถึงแนวยุ้งข้าวของโจทก์ตามระยะทางที่โจทก์จะสามารถนำรถยนต์เข้าไปขนข้าวในยุ้งข้าวของโจทก์ได้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เป็นที่เห็นได้ว่ามูลคดีเดิมถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาลฎีกาให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าว นั้นก็คือจำเลยต้องรื้อรั้วตามรูปกากบาทเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1เฉพาะบางส่วนที่เริ่มตั้งแต่ทางด้านทิศตะวันออกไปทางด้านทิศตะวันตกจนถึงแนวยุ้งข้าวของโจทก์ตามระยะทางที่โจทก์จะสามารถนำรถยนต์เข้าไปขนข้าวในยุ้งข้าวของโจทก์ได้ ฉะนั้น การที่จำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าไม่ได้รื้อรั้วตั้งแต่ทางด้านทิศตะวันออกไปทางด้านทิศตะวันตกจนถึงแนวยุ้งข้าวของโจทก์แต่อย่างใด ดังที่ปรากฏรายละเอียดตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 11 ตุลาคม 2543 แสดงว่าจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นได้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้วศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจโดยชอบโดยตรงที่จะดำเนินการแก่จำเลยเพื่อให้คำพิพากษาของศาลฎีกามีผลบังคับใช้ ทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 302 ส่วนวิธีดำเนินการกับจำเลยเกี่ยวกับการรื้อรั้วนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งภาค 4 ลักษณะ 2 ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง มาตรา 296 เบญจ ก็ได้บัญญัติให้อำนาจไว้แล้วเช่นกัน แต่ศาลชั้นต้นหาได้กระทำไม่ กลับออกคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกาคำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้เห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบเพราะจำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกาอยู่แล้ว โดยไม่จำต้องให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีบังคับคดีต่อไป สำหรับฎีกาอื่น ๆ ของจำเลยนั้นเห็นว่าไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีตามกฎหมายต่อไป