คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1669-1670/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การเรียกค่าขึ้นศาลต้องดูว่าคำฟ้องที่เสนอต่อศาลมีกี่ข้อหา แต่ละข้อหาแยกจากกันได้หรือไม่ หากแยกจากกันได้ก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลเป็นรายข้อหาไป จำเลยอุทธรณ์เกี่ยวกับเบี้ยปรับของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาข้อหาหนึ่งกับเบี้ยปรับของภาษีการค้าอีกข้อหาหนึ่งแยกจากกันได้ โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลแยกเป็นรายข้อหา
คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 11/2529 เป็นระเบียบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดให้เจ้าพนักงานประเมินต้องถือปฏิบัติ ไม่มีผลผูกพันศาล การงดหรือลดเบี้ยปรับเป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาว่าการที่เจ้าพนักงานประเมินงดหรือลดเบี้ยปรับมานั้นถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ และศาลยังมีอำนาจที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับได้เองในกรณีมีเหตุอันสมควร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (แบบ ภ.ง.ด. ๑๒) ที่ ๑๐๐๑๐๑๐/๑/๑๐๐๓๓๙ ลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๔๑ เพิกถอนการประเมินภาษีการค้า เบี้ยปรับ เงินเพิ่มและภาษีบำรุงเทศบาล (ปัจจุบันเป็นภาษีส่วนท้องถิ่น) ตามหนังสือแจ้งภาษีการค้า (แบบ ภ.ค. ๘๐) ที่ ๑๐๐๑๐๑๐/๔/๑๐๐๐๐๙ ลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๔๑ และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ ส.ภ. ๑ (อธ. ๓) /๔๑๙/๒๕๔๒ และเลขที่ ส.ภ. ๑/อธ. ๓/๔๒๐/๒๕๔๒ ลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ กับขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับเงินเพิ่มและภาษีบำรุงเทศบาล (ปัจจุบันเป็นภาษีส่วนท้องถิ่น) แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกและทำการตรวจสอบภาษีอากรโจทก์ พบว่าโจทก์ทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเมื่อปี ๒๕๓๔ ราคา ๒๕๗,๖๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ได้รับเงินงวดแรกจำนวน ๗๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมายรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๔๙,๐๘๐,๖๗๔.๙๒ บาท ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ลดเบี้ยปรับให้โจทก์อีกร้อยละ ๕๐ ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย คงเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมาย เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๑๑,๔๔๐,๕๕๖.๖๙ บาท ย่อมเป็นคุณแก่โจทก์มากแล้ว โจทก์ขายที่ดินโดยได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวและได้รับเงินจำนวน ๗๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท ถือเป็นเงินได้ในปีภาษี ๒๕๓๔ โจทก์ต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี การฟ้องคดีและทำสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับผู้ซื้อในภายหลังไม่มีผลเป็นการเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนขายที่ดินหรือทำให้เงินได้ของโจทก์ไม่เป็นเงินได้พึงประเมิน เงินจำนวน ๗๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท จึงต้องเสียภาษีเงินได้และภาษีการค้าตามกฎหมาย การประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้แก้ไขการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. ๑๒) ที่ ๑๐๐๑๐๑๐/๑/๑๐๐๓๓๙ ลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๔๑ และหนังสือแจ้งภาษีการค้า (ภ.ค. ๘๐) ที่ ๑๐๐๑๐๑๐/๔/๑๐๐๐๐๙ ลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๔๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ ส.ภ. ๑ (อธ.๓)/๔๑๙/๒๕๔๒ ลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ และเลขที่ ส.ภ. ๑ (อธ. ๓)/๔๒๐/๒๕๔๒ ลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ โดยให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้งดเฉพาะส่วนของเบี้ยปรับทั้งหมดเสีย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนทุนทรัพย์แต่ละข้อหาที่อุทธรณ์เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ตามตาราง ๑ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (๑) (ก) ระบุว่า “คำฟ้องนอกจากที่ระบุไว้ใน (ข) และ (ค) ต่อไปนี้ ให้เรียกโดยอัตราสองบาทห้าสิบสตางค์ต่อทุกหนึ่งร้อยบาท แต่ไม่ให้เกินสองแสนบาท” ดังนั้น การเสียค่าขึ้นศาลจึงต้องพิจารณาจากคำฟ้องเป็นเกณฑ์ มิได้พิจารณาเป็นรายคดีหรือรายสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑ (๓) ให้คำนิยามของคำฟ้องว่าหมายความว่า กระบวนพิจารณาใด ๆ ที่โจทก์ได้เสนอข้อหาต่อศาล… ดังนั้น การเสนอข้อหาต่อศาลแต่ละข้อหาก็เป็นคำฟ้องแล้ว การเรียกค่าขึ้นศาลจึงต้องดูว่าคำฟ้องที่เสนอต่อศาลมีกี่ข้อหา แต่ละข้อหาแยกจากกันได้หรือไม่ หากแยกจากกันได้ก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลเป็นรายข้อหาไป ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๕๐ วรรคท้าย บัญญัติว่า “ถ้าเนื่องจากศาลได้มีคำสั่งให้พิจารณาคดีรวมกัน หรือให้แยกคดีกัน คำฟ้องใดหรือข้อหาอันมีอยู่ในคำฟ้องใดจะต้องโอนไปยังศาลอื่น หรือจะต้องกลับยื่นต่อศาลนั้นใหม่ หรือต่อศาลอื่นเป็นคดีเรื่องหนึ่งต่างหาก ให้โจทก์ได้รับผ่อนผันไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลในการยื่นหรือกลับยื่นคำฟ้องหรือข้อหาเช่นว่านั้น เว้นแต่จำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์แห่งคำฟ้องหรือข้อหานั้นจะได้ทวีขึ้น ในกรณีเช่นนี้ค่าธรรมเนียมเฉพาะที่ทวีขึ้น ให้คำนวณและชำระตามที่บัญญัติไว้ในวรรคก่อน” ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่สนับสนุนว่าให้เรียกค่าขึ้นศาลเป็นรายคำฟ้องหรือสำนวนมิใช่รายข้อหานั้น เห็นว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวหาได้แสดงว่าให้เรียกค่าขึ้นศาลเป็นรายคำฟ้องหรือรายสำนวนดังที่จำเลยอุทธรณ์ไม่ คดีนี้จำเลยอุทธรณ์เกี่ยวกับเบี้ยปรับของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาข้อหาหนึ่งกับเบี้ยปรับของภาษีการค้าอีกข้อหาหนึ่งแยกจากกันได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลแยกเป็นรายข้อหาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อต่อไปมีว่า ศาลมีอำนาจสั่งงดเบี้ยปรับแก่โจทก์หรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ปัญหาข้อนี้ว่า การงดเบี้ยปรับจะต้องได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรหรือผู้ที่อธิบดีกรมสรรพากรมอบหมายเท่านั้น ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. ๑๑/๒๕๒๙ เห็นว่า ตามคำสั่งกรมสรรพากรดังกล่าวเป็นระเบียบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดให้เจ้าพนักงานประเมินต้องถือปฏิบัติ ไม่มีผลผูกพันศาล การงดหรือลดเบี้ยปรับเป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาว่าการที่เจ้าพนักงานประเมินงดหรือลดเบี้ยปรับมานั้นถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ และศาลยังมีอำนาจที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับได้เองในกรณีมีเหตุอันสมควร อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ.

Share