คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1017/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าโจทก์บุกรุกเข้าไปอยู่ในห้องของจำเลย นั้น แม้จำเลยผู้แจ้งจะไม่ประสงค์ให้ดำเนินคดีก็ตาม แต่จากคำแจ้งความนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกโจทก์กับพวกไปสอบสวน เมื่อโจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องได้เช่นนี้ ซึ่งถ้าเป็นจริงโจทก์ก็น่าจะได้รับความเสียหาย นั้น นับว่าคดีของโจทก์มีมูล ควรได้รับการพิจารณาแล้ว (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2505)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจแจ้งความเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจบางรักว่า จำเลยอยู่บ้านตำบลสุริวงศ์พระนคร โจทก์บุกรุกเข้าไปอยู่อาศัย พนักงานสอบสวนเชื่อ จึงได้จับกุมตัวโจทก์ ทำให้ได้รับความเสียหาย ความจริงจำเลยมิได้อยู่ในบ้านนั้น ทั้งโจทก์มิได้บุกรุกเข้าไปอาศัย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยนำความไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์บุกรุกเข้าไปอยู่ในห้องของจำเลยนั้น แม้จำเลยผู้แจ้งจะไม่ประสงค์ให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีอาญาก็ตาม แต่ก็เห็นเจตนาของจำเลยได้แล้วว่า ต้องการให้ตำรวจจับโจทก์ไปเสียจากห้องที่อยู่ดังกล่าวข้อเท็จจริงได้ความว่า เนื่องจากคำแจ้งความของจำเลย เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจบางรักได้เรียกโจทก์กับพวกไปสอบสวน ซึ่งถ้าเป็นจริงตามนี้ โจทก์ก็น่าจะได้รับความเสียหาย ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า เท่าที่โจทก์นำพยานมาให้ศาลไต่สวนนับว่าคดีของโจทก์มีมูลควรจะได้รับการพิจารณาอยู่แล้ว สมควรจะได้ฟังข้อต่อสู้ของจำเลยและดำเนินการพิจารณาต่อไป

พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่าง ให้ศาลชั้นต้นรับประทับฟ้องของโจทก์

Share