แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกให้จำคุก 6 เดือน รอการลงโทษไว้ 3 ปี และให้ใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 120,000 บาทศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 66,000 บาทนอกนั้นยืนดังนี้ คู่ความจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ฉะนั้น ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดว่าจำเลยยักยอกเงินเพียง 66,000 บาท จึงเป็นอันยุติ ซึ่งศาลจะต้องถือตามในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353 กับให้จำเลยคืนราคาทรัพย์ 120,000 บาทแก่นางวุฑฒาผู้เสียหายโดยมีข้อหาว่าจำเลยยักยอกค่าที่ดินที่ผู้เสียหายมอบฉันทะให้ขาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
นางวุฑฒาผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 353 ให้จำคุกจำเลย 6 เดือน รอการลงโทษไว้ 3 ปี ให้จำเลยใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 120,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหาย 66,000 บาทนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะจำนวนทรัพย์ที่ฟังว่าจำเลยยักยอกไปส่วนโทษจำคุก 6 เดือน และรอการลงโทษไว้ 3 ปีนั้นไม่แก้ไข คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมีว่าจำเลยยักยอกเงินเพียง 66,000 บาทเท่าที่จำเลยรับมาหลังจากหักส่วนที่นายชดได้รับไปตามสัญญาระหว่างจำเลยกับนายชดแล้ว ย่อมเป็นอันยุติ โจทก์ฎีกาโต้แย้งไม่ได้ว่าจำเลยรับเงินไป 120,000 บาท และยักยอกเงินจำนวน 120,000 บาทนั้นเมื่อข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาศาลอุทธรณ์ชี้ขาดว่าจำเลยยักยอกเงินเพียง 66,000 บาท ข้อเท็จจริงนี้ศาลก็ต้องถือตามในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ฎีกาโจทก์จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แต่ประการใด
พิพากษายืน