คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5678/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องเป็นว่าโจทก์ชื่อบริษัทเซ็นโทซ่า จำกัด หรือบริษัทเซ็นโทซ่าดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จำกัด แล้ว ชื่อของโจทก์จึงหาขัดแย้งกันไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นลูกค้าโจทก์ประเภทซื้อสินค้า เงินเชื่อ จำเลยและลูกค้าในความรับผิดชอบของจำเลยได้นำบัตรซื้อสินค้าเงินเชื่อมาซื้อสินค้าไปจากโจทก์ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2533 ถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2534 จำเลยชำระค่าสินค้าบางส่วนแล้ว คงค้างชำระ 116,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ส่วนที่คำฟ้องของโจทก์มิได้ระบุว่าจำเลยหรือตัวแทนซื้อสินค้าจากโจทก์วันไหน สินค้าอะไรบ้าง และซื้อครั้งละเท่าไรเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจารณา คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ข้อที่จำเลยยกขึ้นอุทธรณ์และฎีกาเป็นข้อที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้มา ตั้งแต่ศาลชั้นต้นแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย เป็นการไม่ชอบและศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย แม้สัญญาซื้อขายสินค้าเงินเชื่อจะระบุชื่อโจทก์ว่าบริษัทเซ็นโทซ่าดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จำกัด แต่ก็หมายถึงบริษัทเซ็นโทซ่า จำกัด โจทก์ในคดีนี้นั่งเองเพราะบริษัทเซ็นโทซ่าดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จำกัด มิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแต่อย่างใด หากแต่เป็นชื่อที่โจทก์ใช้ในทางการค้าจึงฟังได้ว่าจำเลยทำสัญญาซื้อขายสินค้าเงินเชื่อกับโจทก์ตามที่โจทก์ฟ้องและนำสืบ โจทก์จึงมี อำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โจทก์มอบอำนาจให้นางสาวกุลสุนีย์ ชินจตุรภัทรฟ้องคดีนี้แทน จำเลยเป็นลูกค้าโจทก์ประเภทซื้อสินค้าเงินเชื่อโดยโจทก์จำเลยตกลงกันว่าให้จำเลยหรือลูกค้าในความรับผิดชอบของจำเลยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เป็นเงินเชื่อด้วยการให้จำเลยมารับบัตรซื้อสินค้าเงินเชื่อจากโจทก์ เมื่อบัตรดังกล่าวมีลายมือชื่อของจำเลยในช่องผู้สั่งซื้อไม่ว่าจำเลยหรือลูกค้าในความรับผิดชอบของจำเลยนำมาซื้อสินค้าจากโจทก์โดยทุกวันสิ้นเดือน จำเลยจะรวบรวมบัตรสั่งซื้อสินค้าดังกล่าวไปเก็บเงินจากลูกค้ามาชำระให้แก่โจทก์ จำเลยได้รับบัตรสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2533 ถึงวันที่ 23 ธันวาคม 2533 รวม 3 เล่มจำเลยและลูกค้าในความรับผิดชอบของจำเลยได้นำบัตรสั่งซื้อสินค้าเงินเชื่อมาซื้อสินค้าเงินเชื่อไปจากโจทก์ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2533 ถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2534 จำเลยชำระค่าสินค้าบางส่วนและค้างชำระบางส่วนเรื่อยมาจนถึงวันที่ 8 กรกฎาคม 2534 จำเลยค้างชำระค่าสินค้าเป็นเงินจำนวน 124,894 บาท และจำเลยได้ชำระเงินในวันดังกล่าวจำนวน 8,894 บาท คงค้างชำระ 116,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 131,513 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า คำฟ้องระบุชื่อโจทก์ว่า”บริษัทเซ็นโทซ่าดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จำกัด” แต่สำเนาหนังสือรับรองและหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายคำฟ้องระบุชื่อของโจทก์ว่า “บริษัทเซ็นโทซ่า จำกัด” ทำให้จำเลยไม่สามารถเข้าใจได้ว่าบริษัทใดเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้ และโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยหรือตัวแทนจำเลยซื้อสินค้าโจทก์วันไหนบ้าง อะไรบ้างแต่ละครั้งมีราคาเท่าใดสำเนาเอกสารท้ายฟ้องก็ไม่ได้ระบุชัดแจ้งว่าเป็นเอกสารเกี่ยวกับอะไร จำเลยไม่สามารถเข้าใจได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เมื่อใด ค่าอะไร จำนวนเท่าใดฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 2 ปี นับแต่จำเลยผิดนัดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ จำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์และเป็นหนี้บริษัทเซ็นโทซ่า จำกัดบริษัทเซ็นโทซ่า จำกัด จึงไม่มีสิทธิมอบอำนาจให้นางสาวกุลสุนีย์ ชินจตุรภัทร ฟ้องคดีนี้แทน เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2533 จำเลยทำสัญญาซื้อสินค้าเงินเชื่อจากบริษัทเซ็นโทซ่าดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จำกัด แต่ได้ชำระค่าสินค้าเงินเชื่อเสร็จสิ้นไปตามสัญญาแล้ว วันที่ 8 กรกฎาคม 2534จำเลยไม่เคยชำระเงิน 8,894 บาท และยังค้างชำระค่าสินค้าเงินเชื่อจำนวน 116,000 บาท เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 และ 4 เป็นเอกสารที่นางสาวกุลสุนีย์กับพวกจัดทำขึ้นเองโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 116,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2534จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องไม่เกิน15,513 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน
ปัญหาตามฎีกาจำเลยมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ที่จำเลยฎีกาว่า คำฟ้องระบุชื่อโจทก์ว่า บริษัทเซ็นโทซ่าดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จำกัด แต่หนังสือรับรองเอกสารท้ายฟ้องระบุชื่อโจทก์ว่าบริษัทเซ็นโทซ่า จำกัด เป็นการขัดแย้งกันนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องเป็นว่าโจทก์ชื่อบริษัทเซ็นโทซ่า จำกัด หรือบริษัทเซ็นโทซ่าดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จำกัด แล้วชื่อของโจทก์จึงหาขัดแย้งกันไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าคำฟ้องของโจทก์มิได้ระบุว่าจำเลยหรือตัวแทนซื้อสินค้าจากโจทก์วันไหนสินค้าอะไรบ้าง และซื้อครั้งละเท่าไรเป็นคำฟ้องที่บรรยายไม่ชัดแจ้งนั้น เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นลูกค้าโจทก์ประเภทซื้อสินค้าเงินเชื่อจำเลยและลูกค้าในความรับผิดชอบของจำเลยได้นำบัตรซื้อสินค้าเงินเชื่อมาซื้อสินค้าไปจากโจทก์ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2533ถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2534 จำเลยชำระค่าสินค้าบางส่วนแล้วคงค้างชำระ 116,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ส่วนรายละเอียดตามที่จำเลยฎีกานั้น เป็นเรื่องที่โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจารณาคำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาสุดท้ายตามฎีกาจำเลยมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่จำเลยฎีกาว่า ตามสัญญาบัตรเครดิตเซ็นโทซ่าเอกสารหมาย ล.1ผู้เป็นคู่สัญญาคือบริษัทเซ็นโทซ่าดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จำกัดผู้ขายกับจำเลยผู้ซื้อ แต่บริษัทเซ็นโทซ่าดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จำกัดมิใช่นิติบุคคลตามกฎหมายตามเอกสารหมาย ล.1 ปรากฏว่านายเขียน ชินจตุรภัทร ลงชื่อเป็นคู่สัญญาเท่านั้นไม่เกี่ยวกับบริษัทเซ็นโทซ่า จำกัด แต่อย่างใด บริษัทเซ็นโทซ่า จำกัดจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลยไม่ใช่เจ้าหนี้ จึงไม่มีอำนาจฟ้องในชั้นอุทธรณ์จำเลยได้อุทธรณ์ปัญหานี้ด้วยแต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยอ้างว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นเนื่องจากจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ เห็นว่า จำเลยให้การไว้ว่า จำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ และไม่เคยเป็นหนี้บริษัทเซ็นโทซ่า จำกัด บริษัทดังกล่าวไม่มีสิทธิมอบอำนาจให้นางสาวกุลสันีย์ ชินจตุรภัทร ฟ้องคดีนี้แทนข้อที่จำเลยยกขึ้นอุทธรณ์และฎีกาดังกล่าวจึงเป็นข้อที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้มาตั้งแต่ศาลอุทธรณ์แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย ข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใช้ชื่อว่าบริษัทเซ็นโทซ่า จำกัด มีนายเขียน ชินจตุรภัทร เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทน ตามหนังสือรับรองเอกสารหมายจ.1 แต่ใช้ชื่อในทางการค้าว่าเซ็นโทซ่าดีพาร์ทเมนท์สโตร์มีสถานที่ตั้งอยู่แห่งเดียวกับสถานที่ตั้งของบริษัทเซ็นโทซ่าจำกัด จำเลยเบิกความยอมรับว่าได้ทำสัญญาบัตรเครดิตเซ็นโทซ่าอันเป็นสัญญาซื้อขายสินค้าเงินเชื่อกับบริษัทเซ็นโทซ่าดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จำกัด บริษัทดังกล่าวกับบริษัทเซ็นโทซ่า จำกัด เป็นห้างสรรพสินค้ามีแห่งเดียวในจังหวัดขอนแก่น ดังนี้ แม้สัญญาซื้อขายสินค้าเงินเชื่อตามเอกสารหมาย ล.1 จะระบุชื่อโจทก์ว่าบริษัทเซ็นโทซ่าดีพาร์เมนท์สโตร์ จำกัด ก็หมายถึงบริษัทเซ็นโทซ่า จำกัด โจทก์ในคดีนี้นั่นเองเพราะบริษัทเซ็นโทซ่าดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จำกัด มิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแต่อย่างใด หากแต่เป็นชื่อที่โจทก์ใช้ในทางการค้าข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยทำสัญญาบัตรเครดิตเซ็นโทซ่าหรือสัญญาซื้อขายสินค้าเงินเชื่อกับโจทก์ตามที่โจทก์ฟ้องและนำสืบโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน

Share