คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2710/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างสภาพแห่งข้อหาในมูลหนี้ตามสัญญากู้ยืม จำเลยให้การว่ามิได้กู้ยืมกันจริงหากแต่ทำสัญญากู้ยืมไว้เพื่อเป็นประกันหนี้ค่าก่อสร้างบ้านที่จำเลยผู้ว่าจ้างต้องชำระให้แก่สามีของโจทก์ผู้รับจ้าง ดังนี้เท่ากับจำเลยให้การปฏิเสธว่าจำเลยมิได้รับเงินตามสัญญากู้และสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ ซึ่งตรงตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในชั้นชี้สองสถาน ส่วนข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากคำแถลงของโจทก์ว่า เมื่อก่อสร้างบ้านแล้วจึงทำหนังสือกู้ไว้ คงมีความหมายเพียงว่ามูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมมีที่มาจากมูลหนี้ค่าก่อสร้างบ้านเท่านั้น มิใช่เป็นการรับว่ามูลหนี้ตามฟ้องเป็นนิติกรรมอำพรางตามที่จำเลยต่อสู้ทั้งประเด็นข้อนี้ก็เกิดจากคำให้การต่อสู้ของจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงต่อไป ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามสัญญากู้ยืมคืนโจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า มิได้กู้ยืมกันจริง สัญญากู้ยืมเป็นเอกสารที่ทำขึ้นเพื่อยึดถือไว้เป็นประกันการชำระเงินค่าก่อสร้างบ้านให้แก่สามีโจทก์ จำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อในเอกสารสัญญากู้ไว้โดยมิได้กรอกข้อความมอบให้แก่สามีโจทก์ จึงเป็นนิติกรรมอำพราง จำเลยทั้งสองได้ชำระค่าก่อสร้างบ้านให้สามีโจทก์หลายครั้ง แต่งานก่อสร้างตามข้อตกลงไม่เสร็จ จำเลยจึงงดการชำระค่าจ้าง โจทก์จึงนำสัญญาไปกรอกข้อความมาฟ้องจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานโจทก์แถลงว่ามูลหนี้เกิดจากการสร้างบ้านโดยโจทก์เป็นผู้รับจ้างจำเลยเป็นผู้ว่าจ้าง เมื่อก่อสร้างบ้านแล้วจึงได้ทำสัญญากู้กันไว้และบ้านยังสร้างไม่เสร็จเหลืองานเพียงเล็กน้อย จำเลยจึงสั่งระงับการก่อสร้างเพราะไม่มีเงินชำระ จำเลยแถลงว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์แต่ลงชื่อไว้เป็นประกันเงินค่าก่อสร้าง แต่การก่อสร้างบ้านไม่เสร็จ จึงไม่จ่ายเงินให้
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่ามูลหนี้ที่แท้จริงคือค่าก่อสร้างบ้านซึ่งโจทก์เป็นผู้รับจ้างจำเลยก่อสร้าง แต่โจทก์กลับฟ้องว่ามูลหนี้เกิดจากการกู้ยืมเป็นนิติกรรมอำพราง เมื่อฟ้องโจทก์ไม่กล่าวถึงมูลหนี้ของนิติกรรมอำพรางจึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ ศาลบังคับให้ตามมูลหนี้ที่แท้จริงไม่ได้พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานของคู่ความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาในชั้นนี้มีว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโดยเหตุคดีเพียงพอแก่การวินิจฉัยและพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์โดยเหตุฟ้องไม่สมบูรณ์เป็นคำสั่งที่ชอบหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างสภาพแห่งข้อหาในมูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมท้ายฟ้อง จำเลยให้การว่า มิได้มีการกู้ยืมกันจริง หากแต่ทำสัญญากู้ยืมไว้เพื่อเป็นประกันหนี้ค่าก่อสร้างบ้านที่จำเลยผู้ว่าจ้างต้องชำระให้แก่สามีของโจทก์ผู้รับจ้างดังนี้เท่ากับจำเลยให้การปฏิเสธว่าจำเลยมิได้รับเงินตามสัญญากู้ยืมไปจากโจทก์ อันมีผลเท่ากับจำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญากู้ยืมท้ายฟ้องไม่สมบูรณ์ตามที่ศาลชั้นต้นได้หยิบยกเป็นประเด็นในชั้นชี้สองสถานไว้แล้ว จึงเป็นประเด็นพิพาทที่ต้องวินิจฉัยจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในชั้นพิจารณาต่อไป ข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากคำแถลงของโจทก์ว่าเมื่อก่อสร้างบ้านแล้วจึงได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมกันไว้ คงมีความหมายเพียงว่ามูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมท้ายฟ้องมีที่มาจากมูลหนี้ค่าก่อสร้างบ้านระหว่างโจทก์ในฐานะผู้รับจ้างและจำเลยในฐานะผู้ว่าจ้างเท่านั้น ยังไม่อาจฟังว่าเป็นคำแถลงรับว่ามูลหนี้ตามฟ้องเป็นนิติกรรมอำพรางตามที่จำเลยให้การต่อสู้ ทั้งประเด็นในข้อนี้ก็เกิดจากคำให้การต่อสู้ของจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างต่อไป ฟ้องโจทก์หาใช่เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามที่จำเลยฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ให้มีการพิจารณาคดีต่อไปและมีคำพิพากษาใหม่จึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share