แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สามีจะเอาทรัพย์สินบริคณห์ไปโอนยกให้บุคคลอื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมของภริยาไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เรือนเลขที่ ๔๗๔/๒๗ ตามสัญญายกกรรมสิทธิ์เรือนลงวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๐๒ จำเลยอาศัยเรือนดังกล่าวจากเจ้าของเดิมโดยไม่มีสิทธิอาศัย โจทก์บอกเลิกการอาศัยหลายครั้ง จำเลยก็เพิกเฉยและอยู่ในเรือนโดยละเมิด ทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์จากการที่จะให้เช่าได้เดือนละ ๖๐๐ บาท จึงขอให้ขับไล่และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เรือนพิพาทเป็นของจำเลย เป็นสินบริคณห์มีขึ้นระหว่างจำเลยเป็นภริยาพันตำรวจตรีสุทัศน์ ไม่มีสิทธิจะยกเรือนพิพาทให้โจทก์ทั้งหมดได้ จำเลยไม่ใช่เป็นผู้อาศัย จึงไม่ได้ละเมิดสิทธิโจทก์ ขอให้ยกฟ้องและเพิกถอนสัญญายกกรรมสิทธิ์เรือนรายพิพาทเสีย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นผู้ออกเงินปลูกเรือนพิพาทขึ้นระหว่างพันตำรวจตรีสุทัศน์ยังเป็นสามีภริยากับจำเลย หนี้ค่าปลูกเรือนจึงเป็นหนี้ร่วมจะต้องชำระแก่โจทก์ ต่อมาพันตำรวจตรีสุทัศน์กับจำเลยหย่าขาดและแบ่งทรัพย์สินบริคณห์กันแล้วเรือนพิพาทตกได้แก่ พันตำรวจตรีสุทัศน์ ๆ ไม่มีเงินใช้ให้โจทก์ จึงโอนเรือนพิพาทให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ โดยทำเป็นโอนยกให้เพื่อให้เสียค่าธรรมเนียมน้อย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เมื่อคู่ความรับกันว่าเรือนพิพาทเป็นสินบริคณห์ระหว่างพันตำรวจตรีสุทัศน์กับจำเลยแล้ว ย่อมถือว่าเรือนเป็นทรัพย์ที่จำเลยมีสิทธิร่วม พันตำรวจตรีสุทัศน์จะเอาเรือนพิพาทซึ่งเป็นสินบริคณห์ไปทำสัญญายกให้โจทก์โดยเสน่หาโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย จึงไม่มีอำนาจทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๓ (๓) แม้จะหย่ากันแล้ว ก็ไม่ได้กล่าวในหนังสือตกลงหย่าว่าเรือนพิพาทเป็นของใคร เมื่อยังไม่ได้แบ่งกันก็ต้องเป็นทรัพย์ที่พันตำรวจตรีสุทัศน์กับจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน พันตำรวจตรีสุทัศน์จะเอาส่วนของจำเลยไปยกให้โจทก์ไม่ได้ จึงไม่มีสิทธิขับไล่จำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์เสีย และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้เพิกถอนสัญญากรรมสิทธิ์เรือนพิพาท โดยถือว่าสัญญายกให้คงมีผลผูกพันเฉพาะส่วนที่เป็นของพันตำรวจตรีสุทัศน์ แต่ไม่ผูกพันถึงส่วนของจำเลยค่าธรรมเนียมค่าทนายต่างให้เป็นพับกันไป
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เรือนพิพาทเป็นของพันตำรวจตรีสุทัศน์ เพราะหนังสือหย่าระบุว่าได้แบ่งทรัพย์บริคณห์กันเสร็จแล้ว พันตำรวจตรีสุทัศน์เป็นหัวหน้าครอบครัวย่อมมีอำนาจโอนเรือนพิพาทตีใช้หนี้โจทก์ได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้องแย้งจำเลยเสีย และขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากเรือนพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๑๐๐ บาทด้วย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือตกลงหย่ามีข้อความเกี่ยวกับทรัพย์ว่า ได้แบ่งทรัพย์สินบริคณห์ต่าง ๆ กันแล้วเท่านั้น หาได้กล่าวให้เห็นประจักษ์ว่าทรัพย์ที่แบ่งแล้วนั้นมีเรือนพิพาทร่วมอยู่ด้วยไม่ ซึ่งเมื่อฟังพยานหลักฐานของแต่ละฝ่ายแล้ว เห็นว่าจำเลยยังคงมีสิทธิในตัวเรือนพิพาทในฐานะเป็นเจ้าของเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย เพราะเป็นทรัพย์สินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับพันตำรวจตรีสุทัศน์ โดยที่ยังไม่ได้แบ่งปันกันว่าตกได้แก่ฝ่ายใด จนบัดนี้ การที่พันตำรวจตรีสุทัศน์เอาไปโอนยกให้โจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมของจำเลยผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วยหาได้ไม่ และที่โจทก์อ้างว่าโอนเรือนพิพาทตีใช้หนี้ที่โจทก์ออกเงินทดรองให้พันตำรวจตรีสุทัศน์ไปปลูกเรือนหลังนี้ขึ้น จำเลยก็ปฏิเสธ พยานบุคคลของโจทก์ล้วนเกี่ยวดองเป็นญาติไม่น่ารับฟังความเป็นจริง ดังนั้น การที่พันตำรวจตรีสุทัศน์เป็นเจ้าของเท่านั้น หามีผลผูกพันไปถึงส่วนของจำเลยด้วยไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น