คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 2 ขายที่ดินมือเปล่าซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยโดยที่จำเลยที่ 1 ก็รู้เรื่องและมิได้คัดค้านประการใดนั้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ขายส่วนของจำเลยที่ 1 โดยปริยายด้วย

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน 1 แปลงเนื้อที่ 27 ไร่ โดยซื้อไว้จากจำเลยที่ 2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2509 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าหน้าที่อำเภอขอรับมรดกที่ดินจากนายโชติบิดา จำนวน 17 ไร่ โจทก์จึงคัดค้านต่อมาในวันที่ 22 เดือนเดียวกัน จำเลยทั้งสองได้บุกรุกเข้าแย่งการครอบครองที่ดินแปลงพิพาททั้งแปลง ขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องที่ดินพิพาทอีกต่อไป

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่าจำเลยที่ 1 เป็นบุตรนายโชติ จำเลยที่ 2 เป็นภริยานายโชติและเป็นมารดาจำเลยที่ 1 นายโชติ ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2504 ก่อนนายโชติถึงแก่กรรม นายโชติมีที่ดิน 1 แปลงเนื้อที่ 17 ไร่ และนายโชติยังได้ซื้อที่ดินติดต่อกันไว้จากนายสายอีก 1 แปลง เนื้อที่ 17 ไร่เศษ เมื่อนายโชติตาย ที่พิพาทจึงตกเป็นสิทธิแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์เคยเช่าที่พิพาทจากจำเลย เมื่อ พ.ศ. 2509 โจทก์ได้เอารถไถที่ดินพิพาททั้ง 34 ไร่ จำเลยห้าม แต่โจทก์ไม่เชื่อฟัง ทำให้จำเลยขาดรายได้ปีละ 10,000 บาท จึงฟ้องแย้งขอให้ห้ามโจทก์และบริวารมิให้เข้าขัดขวางในการที่จำเลยจะใช้สิทธิทำประโยชน์ในที่ของจำเลยดังกล่าว และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายที่จำเลยขาดประโยชน์ปีละ 10,000 บาท จนกว่าคดีจะถึงที่สุด

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ซื้อที่พิพาทไว้จากจำเลยที่ 2 เนื้อที่ 27 ไร่เมื่อ พ.ศ. 2504 แล้วเข้าครอบครองเป็นเจ้าของทำกินและเสียค่าบำรุงท้องที่ตลอดมามิได้ทอดทิ้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามจำเลยทั้ง 2 และบริวารเข้าเกี่ยวข้องที่พิพาทและยกฟ้องแย้งจำเลย

จำเลยทั้ง 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าจำเลยทั้ง 2 มีสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาท ห้ามโจทก์และบริวารขัดขวางในการที่จำเลยจะใช้สิทธิทำประโยชน์ในที่พิพาทและให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยปีละ 750 บาท จนกว่าคดีจะถึงที่สุด และให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงแล้วเชื่อว่า โจทก์ได้ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 หาใช่เช่าดังที่จำเลยต่อสู้ไม่ และถึงแม้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรจำเลยที่ 2 จะมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของที่พิพาทในฐานะเป็นผู้รับมรดกจากนายโชติบิดาร่วมกับจำเลยที่ 2 แต่เมื่อจำเลยที่ 2 ขายที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาททั้งหมดแต่ผู้เดียวตลอดมาตั้งแต่ พ.ศ. 2504 จนเกิดกรณีพิพาทนี้ขึ้น จำเลยที่ 1 ทราบแล้วมิได้โต้แย้งคัดค้านแต่ประการใดจึงถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ขายส่วนของจำเลยที่ 1 โดยปริยายด้วย พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share