คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4512/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ว่า ตามคำร้องของผู้ร้องอ้างเหตุภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นเหตุให้ผู้ร้องตกอยู่ในภาวะคับขันจำเป็นต้องกำหนดมาตรการลดค่าใช้จ่ายโดยลดอัตรากำลังคน เป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย ไม่ระบุว่าเศรษฐกิจปัจจุบันถดถอยในลักษณะอย่างไร มีผลกระทบต่อผู้ร้องอย่างไร ผู้ร้องมีกำไรหรือขาดทุนซึ่งมีความจำเป็นต้องลดอัตรากำลังคน คำร้องของผู้ร้องจึงเคลือบคลุมนั้น แม้ปัญหานี้ผู้คัดค้านจะต่อสู้ไว้ในคำคัดค้าน แต่ศาลแรงงานมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงาน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 52 บัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองกรรมการลูกจ้างมิให้ถูกนายจ้างกลั่นแกล้งอันเป็นเหตุให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการลูกจ้าง โดยให้อำนาจศาลแรงงานพิจารณากลั่นกรองอีกชั้นหนึ่งว่ามีเหตุผลสมควรและเพียงพอที่จะเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างหรือไม่
เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างได้กระทำผิดใด ๆ ถึงขั้นเลิกจ้างคงมีเหตุแต่เพียงว่าสภาพการผลิตสินค้าของผู้ร้องลดลงเพราะเศรษฐกิจถดถอยผู้ร้องต้องลดอัตรากำลังลูกจ้างเพื่อลดค่าใช้จ่าย โดยไม่ปรากฏว่า กิจการของผู้ร้องขาดทุนหรือต้องยุบหน่วยงาน การที่ผู้ร้องแก้ไขปัญหาด้วยการเลิกจ้างผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง เพราะเหตุที่วันลาย้อนหลังไปในปี 2538 ถึง 2540 รวมกันเกิน 45 วันโดยไม่ปรากฏว่าการลาในรอบปีดังกล่าวของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ไม่ชอบต่อระเบียบข้อบังคับ เช่นนี้ถือได้ว่าผู้ร้องยังไม่มีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะเลิกจ้างผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 52 ได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษากับสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 8532/2540 ของศาลแรงงานกลางโดยเรียกผู้คัดค้านตามลำดับสำนวนว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ผู้คัดค้านที่ 2 และผู้คัดค้านที่ 3 แต่สำนวนคดีดังกล่าวซึ่งเป็นคดีระหว่างผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 2 ผู้ร้องขอถอนคำร้องแล้วคงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีสองสำนวนนี้

ผู้ร้องทั้งสองสำนวนยื่นคำร้องว่า ผู้คัดค้านทั้งสองเป็นลูกจ้างของผู้ร้องและเป็นกรรมการลูกจ้าง ต่อมาผู้ร้องต้องการลดค่าใช้จ่าย จึงได้ตั้งคณะกรรมการคัดเลือกลูกจ้างที่มีสถิติการลาสูงเพื่อลดอัตรากำลังโดยเลิกจ้าง ผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้มีสถิติการลาสูง ผู้ร้องมีความประสงค์จะเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งสอง จึงขออนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งสอง

ผู้คัดค้านทั้งสองสำนวนยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องกล่าวอ้างถึงเหตุภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันถดถอย ผู้ร้องตกอยู่ในภาวะคับขัน จำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายและลดอัตรากำลังคนอันเป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย เพราะไม่ระบุว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างไร กระทบต่อผู้ร้องลักษณะใด มีกำไรหรือขาดทุน เป็นคำร้องที่เคลือบคลุม ขอให้ยกคำร้อง

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปรับอากาศและอะไหล่รถยนต์ ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เป็นลูกจ้างของผู้ร้องและเป็นกรรมการลูกจ้างในสถานประกอบการของผู้ร้อง ผู้ร้องได้ออกประกาศเลขที่ สนง. 018/2540 ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2540 ชี้แจงภาวะเศรษฐกิจถดถอยและสถานะของผู้ร้อง ต่อมาได้ออกประกาศเลขที่ สนง. 019/2540 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม2540 ประกาศลดอัตรากำลัง และได้ตั้งคณะกรรมการคัดเลือกลูกจ้างที่มีสถิติการลาหยุดงานสูงเกิน 45 วัน โดยดูย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 2538 ถึงปี 2540 และผู้ร้องได้คัดเลือกผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ให้ออกตามหนังสือฉบับเลขที่ สนง. 052/2540 ลงวันที่24 กรกฎาคม 2540 ตามประกาศทั้งสองฉบับดังกล่าวผู้ร้องได้กำหนดวิธีการคัดเลือกพนักงานเพื่อเลิกจ้างโดยแน่ชัดและเปิดเผยแก่พนักงานทุกคนซึ่งเป็นวิธีการบริหารงานเพื่อให้ผู้ร้องสามารถประกอบกิจการต่อไปได้โดยไม่ขัดต่อสภาพการจ้าง เนื่องจากข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างข้อ 9 ให้สิทธิผู้ร้องถอดถอนพนักงานได้ ทั้งไม่ขัดกับข้อเรียกร้องที่ 12 ตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างผู้ร้องได้คัดเลือกพนักงานเพิ่มอีก 24 คน จากจำนวนพนักงานที่ลาออก 8 คน รวมเป็น 32 คน ทั้งนี้โดยผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 มิได้คัดค้านว่า ตนมีวันลาหยุดไม่เกิน 45 วัน คงอ้างแต่เพียงว่าถูกต้องตามระเบียบแล้ว แม้การคัดเลือกดังกล่าวผู้ร้องมิได้กำหนดเงื่อนไขยกเว้นให้แก่ผู้ที่ลาหยุดอย่างถูกต้อง แต่ก็เป็นการคัดเลือกบุคคลที่พร้อมสำหรับการปฏิบัติงานมากที่สุดไว้เป็นกำลังแก่ผู้ร้อง ซึ่งผู้ร้องสามารถกระทำได้เพื่อให้ผู้ร้องดำเนินกิจการต่อไปได้ ทั้งสภาพการผลิตของผู้ร้องลดลงเพราะเศรษฐกิจตกต่ำ และผู้ร้องได้เลิกจ้างพนักงานซึ่งรับช่วงงานไปแล้วประมาณ 80 คน กับพนักงานประจำอีกประมาณ 50 คน แสดงให้เห็นถึงสภาพการณ์ของผู้ร้องที่จำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายบางส่วนอันเป็นผลมาจากยอดขายและผลผลิตลดลง กรณีจึงมีเหตุเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ได้

ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 3 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์ข้อแรกว่าตามคำร้องของผู้ร้องอ้างเหตุภาวะเศรษฐกิจถดถอย เป็นเหตุให้ผู้ร้องตกอยู่ในภาวะคับขันจำเป็นต้องกำหนดมาตรการลดค่าใช้จ่ายโดยลดอัตรากำลังคน เป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย เพราะไม่ระบุว่าเศรษฐกิจปัจจุบันถดถอยในลักษณะอย่างไร มีผลกระทบต่อผู้ร้องอย่างไร ผู้ร้องมีกำไรหรือขาดทุนซึ่งมีความจำเป็นต้องลดอัตรากำลังคน คำร้องจึงเคลือบคลุม เห็นว่า ปัญหานี้แม้ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 จะต่อสู้ไว้ในคำคัดค้าน แต่ศาลแรงงานกลางมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ อุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์ต่อมาว่า ผู้ร้องไม่มีเหตุเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เพราะผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เป็นกรรมการลูกจ้าง ไม่ได้กระทำผิดทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย และไม่ได้ฝ่าฝืนระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้อง ทั้งไม่ได้ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวัน นอกจากนี้คำร้องของผู้ร้องที่อ้างเหตุภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันถดถอยเป็นเหตุให้ผู้ร้องตกอยู่ในภาวะคับขันก็เป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย เนื่องจากไม่ระบุว่าเศรษฐกิจถดถอยอย่างไร ผู้ร้องมีกำไรหรือขาดทุนที่จำเป็นต้องลดอัตรากำลังคน แต่กลับปรากฏว่า ผู้ร้องยังดำเนินการต่อไปได้ตามปกติ ไม่ขาดทุนหรือยุบหน่วยงานหรือปิดกิจการ และเลิกจ้างลูกจ้างทั้งหมด ซึ่งจะมีเหตุเลิกจ้างลูกจ้างที่เป็นกรรมการลูกจ้าง การแก้ปัญหาโดยขอเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง โดยอ้างเอาวันลาย้อนหลังไปอันเป็นโทษแก่ผู้คัดค้านทั้งสอง ย่อมไม่มีเหตุผลเพียงพอและสมควรตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ที่ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้เลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 จึงมิชอบ เห็นว่า ข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางว่า ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เป็นลูกจ้างของผู้ร้องและเป็นกรรมการลูกจ้างด้วย ผู้ร้องขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 โดยไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านทั้งสองกระทำผิดใด ๆ คำร้องของผู้ร้องอ้างเหตุขออนุญาตเลิกจ้างแต่เพียงว่าสภาพการผลิตของผู้ร้องลดลงเพราะเศรษฐกิจปัจจุบันถดถอย ผู้ร้องต้องลดอัตรากำลังลูกจ้างลงเพื่อลดค่าใช้จ่าย โดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องประสบภาวะขาดทุนหรือยุบหน่วยงาน และผู้ร้องได้คัดเลือกผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เพื่อเลิกจ้างเพราะผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 มีวันลาย้อนหลังไปในปี 2538 ถึง 2540 รวมกันเกิน 45 วัน โดยไม่ปรากฏว่าในการลาในจำนวนวันดังกล่าวไม่ชอบด้วยระเบียบข้อบังคับอย่างไร เมื่อพิเคราะห์ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 52 ซึ่งบัญญัติว่า “ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้าง ลดค่าจ้าง ลงโทษ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการลูกจ้าง หรือกระทำการใด ๆอันอาจเป็นผลให้กรรมการลูกจ้างไม่สามารถทำงานอยู่ต่อไปได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน” เห็นได้ชัดว่า บทบัญญัตินี้บัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองกรรมการลูกจ้างมิให้ถูกนายจ้างกลั่นแกล้งอันเป็นเหตุให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการลูกจ้าง โดยให้อำนาจศาลแรงงานพิจารณากลั่นกรองอีกชั้นหนึ่งว่ามีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างหรือไม่ กรณีของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เมื่อไม่ปรากฏว่ากระทำผิดใด ๆ ถึงขั้นเลิกจ้าง คงมีเหตุแต่เพียงว่าสภาพการผลิตสินค้าของผู้ร้องลดลงเพราะเศรษฐกิจถดถอย ผู้ร้องต้องลดอัตรากำลังลูกจ้างเพื่อลดค่าใช้จ่าย โดยไม่ปรากฏว่ากิจการของผู้ร้องขาดทุนหรือต้องยุบหน่วยงาน การที่ผู้ร้องแก้ไขปัญหาด้วยการเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง เพราะเหตุที่วันลาย้อนหลังไปในปี 2538 ถึง 2540 รวมกันเกิน 45 วัน โดยไม่ปรากฏว่าการลาในรอบปีดังกล่าวของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ไม่ชอบต่อระเบียบข้อบังคับ เช่นนี้ถือได้ว่าผู้ร้องยังไม่มีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 52 ได้

พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสองสำนวน

Share