คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3710/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ถ้าข้อเท็จจริงเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว ก็ไม่จำต้องนำสืบพยานหลักฐานใดอีก ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งงดสืบพยานได้ เพื่อให้คดี ดำเนินไปโดยรวดเร็วและยุติธรรม จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยนำเช็คตามฟ้องไปขอแลกเงินสดจากโจทก์และจำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ ทั้งจำเลยไม่เคยรับเงินใด ๆ จากโจทก์ โจทก์มิได้เป็นผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ความจริงจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทแก่ผู้มีชื่อมิใช่โจทก์และได้ชำระเงินตามเช็คให้แก่ผู้มีชื่อเสร็จสิ้นแล้วคำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดที่กล่าวว่าโจทก์สมคบกับบุคคลใดฉ้อฉลจำเลย แม้พิเคราะห์คำให้การของจำเลยรวมกันทั้งหมดแล้ว ก็ไม่อาจแปลความหมายได้ว่าโจทก์สมคบกับบุคคลอื่นฉ้อฉลจำเลย จำเลยให้การว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่ผู้มีชื่อมิใช่โจทก์ และได้ชำระเงินให้แก่ผู้มีชื่อเสร็จสิ้นแล้ว เท่ากับจำเลยยกข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับผู้ทรงคนก่อน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 916 เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่ได้ยกข้อต่อสู้ว่าโจทก์กับผู้ทรงคนก่อนคบคิดกันฉ้อฉลแล้วจำเลยย่อมถูกต้องห้ามมิให้นำสืบว่าตนไม่ต้องรับผิดตามเช็คพิพาท แม้ข้อเท็จจริงจะเป็นดังที่จำเลยให้การต่อสู้จำเลยก็ยังมีหน้าที่ต้องชำระตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ คำให้การจำเลยไม่ได้กล่าวให้ชัดแจ้งว่า โจทก์ไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง จึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องนำสืบ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน 300,000บาท โดยจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายแล้วนำมาแลกเงินสดจากโจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ โดยธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยนำเช็คตามฟ้องไปขอแลกเงินสดจากโจทก์และจำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ทั้งสิ้นโจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะนำเช็คพิพาทคดีนี้มาฟ้องจำเลย จำเลยไม่เคยได้รับเงินจำนวนใด ๆ จากโจทก์ โจทก์ มิได้เป็นผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ความจริงแล้วเช็คพิพาทจำเลยได้ออกสั่งจ่ายแก่บุคคลผู้มีชื่อซึ่งมิใช่โจทก์ และได้ชำระเงินตามเช็คให้แก่ผู้มีชื่อนั้นไปเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดชี้สองสถานศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีมีประเด็นข้อพิพาทข้อเดียวว่าจำเลยจะต้องรับผิดตามเช็คหรือไม่เพียงใด และข้อเท็จจริงจากคำฟ้อง คำให้การพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่าย แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 300,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาข้อแรกเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบนั้น เห็นว่า การให้งดสืบพยาน เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลยพินิจสั่งตามควรแก่กรณีเป็นเรื่อง ๆ ไป ถ้าข้อเท็จจริงเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว ก็ไม่จำต้องนำสืบพยานหลักฐานใดอีก ศาลมีอำนาจสั่งงดสืบพยานได้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้คดีดำเนินไปโดยรวดเร็วและยุติธรรม ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาข้อต่อมาว่า ตามคำให้การของจำเลยนั้น ถือได้ว่าจำเลยได้ให้การต่อสู้แล้วว่าโจทก์กับบุคคลอื่นได้ร่วมกันคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 ศาลฎีกาตรวจคำให้การของจำเลยแล้วจำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยนำเช็คตามฟ้องไปขอแลกเงินสดจากโจทก์ และจำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ ทั้งจำเลยไม่เคยรับเงินใด ๆ จากโจทก์ โจทก์มิได้เป็นผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ความจริงจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทแก่ผู้มีชื่อมิใช่โจทก์ และได้ชำระเงินตามเช็คให้แก่ผู้มีชื่อเสร็จสิ้นแล้ว ตามคำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดที่กล่าวว่าโจทก์สมคบกับบุคคลใดฉ้อฉลจำเลยแม้พิเคราะห์คำให้การของจำเลยรวมกันทั้งหมดแล้ว ก็ไม่อาจแปลความหมายได้ว่าจำเลยได้ให้การต่อสู้แล้วว่าโจทก์สมคบกับบุคคลอื่นฉ้อฉลจำเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า ข้อที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาโดยสุจริตและเป็นผู้ทรงโดยชอบนั้น ศาลล่างทั้งสองคาดเดาเอาเอง ไม่มีข้อเท็จจริงให้รับฟังได้เช่นนั้นผู้ทรงเช็คโดยชอบนั้นนอกจากจะเป็นผู้ครอบครองเช็คโดยสุจริตแล้วจะต้องครอบครองหรือถือเช็คโดยอยู่ในฐานะจะเป็นผู้รับเงินได้ด้วย หรือจะต้องแสดงให้ศาลเห็นว่ามูลหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยมีจริงหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้จำเลยให้การเข้ามาเองว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่ผู้มีชื่อมิใช่โจทก์ และได้ชำระเงินให้แก่ผู้มีชื่อเสร็จสิ้นแล้ว เช่นนี้ เท่ากับจำเลยยกข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันเฉพาะบุคคลระหว่างตน (ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่าย) กับผู้ทรงคนก่อน (คือผู้มีชื่อ) ซึ่งกรณีเช่นนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 916 บัญญัติห้ามมิให้ผู้สั่งจ่าย (จำเลย) ยกเป็นข้อต่อสู้กับผู้ทรง (โจทก์) ได้ เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉลเท่านั้น ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่ได้ยกข้อต่อสู้ว่าโจทก์กับผู้ทรงคนก่อน คือบุคคลอื่นตามที่จำเลยอ้างนั้นคบคิดกันฉ้อฉลแล้วจำเลยย่อมถูกต้องห้ามมิให้นำสืบว่าตนไม่ต้องรับผิดตามเช็คพิพาทแม้ข้อเท็จจริงจะเป็นดังที่จำเลยให้การต่อสู้ คือจำเลยออกเช็คพิพาทให้บุคคลอื่นและได้ชำระเงินตามเช็คให้แก่บุคคลอื่นแล้วก็ตามจำเลยก็ยังมีหน้าที่ต้องชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คคนสุดท้ายด้วย และแม้คดีนี้จำเลยจะให้การว่าโจทก์มิได้เป็นผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย แต่จำเลยก็มิได้กล่าวให้ชัดแจ้งว่าโจทก์ไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไรเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง จึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องนำสืบฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน.

Share